ทุกข์ บน สวรรค์
..กว่าครึ่งค่อนสัปดาห์ที่ฉันต้องโลดแล่นท่ามกลางสายน้ำนอง..สายน้ำที่มีบ่อเกิดจากดวงตาคู่หม่น..มันไหลริน..มากมาย..ท่วมท้น..ถาโถมโหมซัด กระทั่งมโนสำนึกของฉันก้าวขึ้นสูงเกินจุดที่จะทัดทานไหว..ความอดกลั้นที่สั่งสมภายใต้พันธะแห่งจิตใจ..ครานี้..มันได้แตกสลายเป็นเสี่ยง..ยาก..ยากยิ่งที่จะสานสืบให้กลับกลายเป็นเนื้อแท้เดียวกันโดยปราศจากรอยร้าวแห่งวันวาน
ปุจฉา..อันไร้ซึ่ง..วิสัชนา ได้ก่อเกิด
ขึ้นท่ามกลางสังคมอยุติธรรม..ความเหมือนที่แตกต่าง..ทำให้ความร้าวฉานเติบโตขึ้น..เฉกเช่นตัวฉัน.. ความมั่งมี..ทำให้มนุษย์ผู้ซึ่งระเริงวัตถุนิยมเปลี่ยนแปลง ..
ค่านิยมที่คนจนต้องเป็นเบี้ยล่างของผู้มั่งมีกว่า..ได้ก่อตัวขึ้น..เติบโต..ดำรง..เกาะติด..ฝังรากลึกในสังคมไทย..ตั้งแต่ครั้นปีเศรษฐกิจตกต่ำ..มนุษยชาติต่างกระเสือกกระสนดิ้นรนเถือกแถกเพื่อความอยู่รอดของตน..ภาวะผู้น้อยเข้าหาผู้ใหญ่ได้แพร่กระจายเข้าซึมสู่สายเลือดชาวไทยผู้ซึ่งมี ทิฐิ ... คำถามแรกที่แวบผ่านเข้ามาภายหลังนั่งมองภาพการณ์ครานั้น เลือดทิฐิแห่งพ่อแม่พี่น้องไทย..จางหายอยู่แห่งใดกันเล่า .. หากฉันบอกเล่าทัศนะของฉันให้ผองเพื่อน ญาติพี่น้องได้สดับรับฟัง .. พวกเขาย่อมลงความเห็นเป็นเสียงกลมเกลียวเดียวกันว่า แกมันบ้า..ยึดถืออุดมการณ์ไร้สาระ อยากรู้จริงๆ อุดมการณ์แปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินเงินทองได้ไหม..อุดมการณ์ของแกจะช่วยอะไรแกได้..มัวทิฐิสูง..ทั้งๆที่แกไม่มีอะไรจะให้ทรนง
ฉันวางยุทธวิธีตอบไว้ ฉันมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้..เพราะอุดมการณ์และทิฐิ..จริงอยู่ฉันอาจไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ แต่ฉันมีความตั้งใจดีที่เปี่ยมล้นในสายเลือด หาสิ่งใดทัดทานได้ไม่ และฉันมีศักดิ์ศรีของความเป็นหนึ่งในมนุษย์โลก..นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทรนง..ทรนงในความเป็นสัตว์ประเสริฐ..
..ทัศนะเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเพราะการณ์ปัจจุบันที่ฉันสัมผัสและรู้สึกได้..เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ราวร้อยสองร้อยชั่วโมงเท่านั้น..ขณะนี้..ฉันนั่งอยู่ภายในห้องนอนอันโอ่อ่า หรูหรา อลังการ แลดูมีค่าสูงส่ง..แต่เจ้าของห้องนอนนี้..กลับมีจิตใจแคบ..โสมม..มืดดำ .. ฉันสดับคำพูดเพียงประโยคเดียวของคนพวกนี้..เป็นคำพูดที่ทำให้โลกใบเล็กของฉันชะงักงันทันที โตเท่าควายแล้วยังโทรมาอีก.. และอีกหลากหลายพจนา..ที่ไม่อยากจดจำ..แต่มีบางสิ่งที่กระแทกกระทั้นจิตใจ..บีบคั้นกระทั่งน้ำตา..เพื่อนที่ดีที่สุด..ไหลรินออกมา..ฉันอาจจำภาพการณ์แห่งความปวดร้ายได้ไม่หมด..แต่เมื่อฉันนำบันทึกมาอ่านคราใด..ภาพวันวานก็พรั่งพรู..อย่างชัดเจน
..หลายวันแล้วที่ฉันต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกปวดร้าวเยี่ยงนี้ .. ฉันต้องคอยหลบทุกสายตาที่จ้องจะเหยียดหยามฉัน แม้ฉันจะปวดร้าวเพียงใดฉันต้องเก็บซ่อนความรู้สึก ครั้นจะร่ำไห้..ปล่อยน้ำตาให้หยดหยาด..สายน้ำของฉันคงจะเป็นสีแดงเถือก..ฉันผิดด้วยหรือ?? .. ที่ฐานะของฉันมันไม่ร่ำรวยล้นฟ้าดั่งเช่นมหาเศรษฐีเหมือนเขา..ฉันผิดด้วยหรือ?? ที่ฉันเป็นคนบ้านนอก ในเมื่อบ้านนอกหรือที่ใดๆ ก็ล้วนผืนแผ่นดินไทยด้วยกันทั้งสิ้น กินข้าวด้วยกันทุกคน?? ฉันผิดด้วยหรือที่กินอาหารฝรั่งไม่เป็น?? ฉันผิดด้วยหรือที่พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดมากนัก แต่ฉันก็พูดอังกฤษได้..ดีกว่าเขาเสียด้วยสิ (ฉันมั่นใจเช่นนั้น)?? ... แต่สิ่งเหล่านี้แม้จะกระทบกระเทือนใจฉัน..ฉันยังรับได้..ว่าคนมีเงินย่อมข่มคนจนกว่า..ข่มฉัน..ฉันทนได้..ทนเสียงกระแทกแดดดัน..เสียดสีได้..แต่..เขากระเทือนมาถึง "แม่" บุพการีผู้ซึ่งฉันรักยิ่ง .. แล้วแม่ของฉันก็คือพี่สาวแท้ๆของเขานั่นแหละ..แม่เป็นมือข้างขวาของยายช่วยเลี้ยงน้องเล็กๆกว่า 12 คน จริงอยู่แม่ฉันอาจจะไม่มีเงินเป็นสิบๆล้าน แต่แม่ฉันก็เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัว มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป..สิ่งเหล่านี้เขาอาจหาเพิ่มเติมได้ แต่ฉันเชื่อว่ามีอย่างหนึ่งที่เขาไม่มีแต่แม่ฉันมี คือ "ความรู้สึกเอื้ออาทร"
..เมื่อวานนี้เอง..ฉันกำลังจะย่างกรายลงบันได..เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของถ้อยมธุรสที่อาจผรุสวาทขึ้นทันทีทันใด ฉันได้ยินเขาพูดกับใครคนหนึ่งว่า โตเป็นควายแล้ว ยังโทร.มาเหลย(เหลย - อีก= ภาษาถิ่นใต้)"แล้วจะให้ฉันคิดอย่างไร..ในเมื่อพ่อแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงลูกด้วยกันทั้งสิ้น..แล้วการมาของฉันครั้งนี้..เขาคะยั้นคะยอฉันเองมิใช่หรือ..แต่ฉันมา..แทนที่จะเป็นแขกบ้านแขกเมืองของเขา..ฉันกลับต้องเป็นคนทำให้เขาแทบทุกอย่าง..ฉันทำได้ไม่ดีนัก..แต่ฉันก็ตั้งใจ..จนสุดกำลังที่ฉันจะมี..เขากระแทกกระทั้นกับแม่ฉันทางโทรศัพท์อีกว่า "น้องยูโกะน่ะเหรอ เขาก็จัดของตามประสาคนเรียบร้อยน่ะสิ" .. อย่างนี้ก็หมายความว่า..เขาว่าฉันว่าไม่เรียบร้อยเลยหรือ..แล้วเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่า..คนเราต้องมีจุดในใจที่ไม่เท่ากัน...จะให้หยิบจับอะไรคล่องตัวไปหมดในบ้านคนอื่นก็ไม่ได้..ฉันไม่รู้ว่าสิ่งของอะไรที่จะต้องใช้อยู่ตรงไหน..ฉันจะทำถูกได้อย่างไร
..มากระทั่งวันนี้..16 มีนาคม วันเกิดฉัน ฉันถึงกับร่ำไห้..เมื่อยังไม่ได้กลับบ้าน..ฉันรอคอยวันนี้...ฉันโทร.ไปหาพ่อ..เพียงแค่ได้ยินเสียงพ่อคำแรก "เป็นอย่างไรบ้างลูก" ฉันถึงกับน้ำตาตก แต่ก็ต้องอดกลั้นความรู้สึก..ไม่ให้เสียงสะอึกสะอื้นพรั่งพรูออกมา เพื่อให้พ่อสบายใจ ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วงฉันมาก.. จริงๆถ้าฉันนั่งรถประจำทางกลับ ฉันก็ทำได้..แต่ฉันไม่อยาก "แพ้" ..หนีเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไปก่อน..ฉันนึกในใจ.."ลูกทนได้..ลูกทนได้"
..แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสุดจะทน..เมื่อพี่สาวคนโตของแม่และเขา โทร.มาหาเขาและบอกว่า แม่ของฉันไปล่ำเลิกเรื่องยาย...จะให้พี่สาวคนโตเลี้ยง...เขาอ้างว่าอย่าเอาเงินมาฟาดหัว..และเขาก็ผรุสวาทแม่ของฉันอีกว่า "มึงนิ เวลามีความสุขก็ไปมีกันแต่ส่วน แต่มีทุกข์ก็แล่นมาหากู" ((ฉันได้ยินจากคำบอกเล่า..นึกในใจ "ไอเหี้ย แล้วยายคิ่ม ไม่ใช่แม่มึงเหรอ เกิดหัวมึงมารึป่าว ไอสัตว์สันดาร อกตัญญูพ่อแม่ตัวเอง มึงไม่เจริญหรอก")) แม่ฉันน้อยใจ..เครียด..กระทั่งเข้าโรงพยาบาล แม่คิดว่า..ไปคุยเรื่องยาย..แก้ปัญหา..หาทางออกให้ยาย..มันผิดด้วยหรือ..ในเมื่อมียายเพียงคนเดียว..ลูกยาย 12 คน เลี้ยงยายไม่ได้หรือ (ยายเคยพูดกับฉันเช่นนี้) .. มีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันผูกใจเจ็บกับพี่สาวของแม่คือ หล่อนโกงสมบัติพัสถารของยาย..ของญาติพี่น้องไปเป็นเรือนล้าน ที่ยายต้องมีอาการหลงๆลืมๆอันมี่ต้นเหตุจากความเครียดก็เนื่องด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง ยายเป็นโรคหลงลืม รักษาไม่หาย..ความทุกข์มิได้เกิดกับคนไข้..แต่เกิดกับคนเฝ้า..คนเลี้ยงดู....
...ตั้งแต่บัดนั้น..ถึงบัดนี้..ฉันไม่เคยคิดจะปริปากคุยกับพวกเขาเหล่านั้นเลย..2 ปีแล้ว นับจากวันนั้น ฉันแม่พ่อ ไม่เคยย่างเหยียบไปบ้านของพี่สาวคนโตเลย..."จะบานชาติ..กันไปเลย" .. น่าเชื่อไหมเล่า..ว่านี่คือความคิดของผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยวัยวุฒิกว่า 50 ปี..
และเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านั้น โทร.มาร่ำร้อง..ใช่!พวกเขาพูดด้วยสำเนียงที่น่าฟัง..หาเหมือนครั้งก่อนไม่..ฉันรับรู้ได้..ว่าแม่เริ่มเอนเอียง..เริ่มใจอ่อน..แต่สำหรับฉันเด็ดเดี่ยวพอที่จะกล่าวคำว่า ไม่มีทาง..ฉันไม่ใจอ่อนเด็ดขาด