วันเวลาไม่ทราบ..
ความเดียวดายที่ต้องอยู่คนเดียวมาเป็นเวลานานแค่ไหน หามีคนรู้ไม่ นักโทษชายผู้หนึ่งได้นั้งเฝ้ามองเมฆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เค้าได้จ้องมองดูมันเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว และไม่มีที่ท่าว่าจะเลิก นัยน์ตาดูว่างเปล่า ผมยาวสกปรกยุ่งเหยิง หนวดเครารุงรังล้อมรอบปากอันอ้าหวืออยู่ เสียงลมหายใจเบาๆ ค่อยๆสูดเข้าสูดออกจากปอดของเค้า
เมฆได้เคลือนตัวช้าๆ ลอยหายออกไปจากช่องหน้าต่างที่
เป็นเหมือนกระจกสู่โลกกว้างของนักโทษชายผู้นี้
เมฆก้อนหนึ่งลอยหายไปจากทางซ้ายของช่องหน้าต่าง
อีกก้อนก็ได้โผล่ออกมาจากทางด้านขวาของช่องหน้าต่าง
ความไม่รู้จบของปรากฎการณ์ ณ.นอกหน้าต่างนี้ไม่ต่างจาก
การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตบนโลกเรา
ตัวเรามันก็เป็นเหมือนเมฆ วันๆไม่ได้ทำอะไร อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้
เมฆที่ท้องฟ้าเป็นห้องขัง ตัวเราก็มีห้องนี้เป็นที่คุมขัง
รอวันเวลาที่จะได้เป็นฝนอย่างกับเมฆสีเทาก้อนนั้น
แสงแดดนี้คงเป็นอาหารให้กับพวกเอ็งสินะ ไอ้ก้อนเมฆ เค้าคิดในใจ
การที่พวกมึงร้องส่งแสงและเสียงสะนั่นดังก้องไปทั่วห้องขังเอ็ง
ก็คงจะดีใจสิ ที่จะได้กลับมาเป็นหยดน้ำทำ ประโยชน์ให้แก่ใครต่อใครเค้า
ชีวิตของกูมันไม่แน่ไม่นอน
เมื่อไรตัวกูจะเป็นหยดน้ำได้บ้างก็ยังไม่รู้
คงต้องรอต่อไปเลยๆ ไม่มีจุดหมายแต่
กูก็ยังขอคงไว้แต่ความหวังว่าสักวัน ตัวกูจะเป็นหยดน้ำกับเค้าบ้าง
สังคมในโลกเราจะเป็นยังไงบ้างกูก็ไม่รู้
วันเวลาเปลี่ยนไป สังคม ความเชื่อ วัฒนะรรมก็ปรับเปลียนหมุดเวียนเปลี่ยนตามกันไป
เราจะเป็นหยดน้ำไปทำไม ในเมือสังคมปัจจุบัน
เรามีพรรคมีพวกที่เป็นละอองเมฆละอองฝนด้วยกัน
ต่อให้เราเป็นเถ้าธุลีเพียงใดก็ยังมีเพือนสหายที่เป็นผงฝุ่น
ในสายตาของผงฝุ่นแบบเดียวกัน เม็ดฝนก็ยังเกิดขึนได้
เราจะไปคับแค้นใจเพื่อเหตุอันใด ที่เราไม่ได้เป็นเม็ดฝนตกลงไป
ในเมือเรามีละอองฝุ่นห้อมล้อมตัวเราอีกนับไม่ถ้วน
ปล่อยให้พวกเม็ดฝนแย่งกันตกลงสู่พื้นโลก
ถูกผู้คนเหยียบยำบนพื้นดิน ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย
อยู่ในกรงขังของท้องฟ้าต่อไปปลอดภัยกว่าตังเยอะ