“ ........... คีตฆาต ........... “
....
ผมวางมันลงข้างตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวและนิ้วมือสั่นระริก หัวใจยังเต้นตูมตามเบียดเสียดพื้นที่ว่างในช่องอก เหงื่อไหลซึมซาบไปทั่วแผ่นหลังและย้อยหยดลงจากตีนผม ในสมองยังสับสนถึงการตัดสินใจเมื่อชั่วครู่ วินาทีที่ทอดลมหายใจในท่อนสุดท้าย เปลี่ยนเครื่องดนตรีที่เคยสร้างความดื่มด่ำแด่จินตภาพ และเติมเต็มท่วงทำนองของความฝัน ให้กลายเป็นเครื่องมือสังหารผลาญชีวิตที่เคยเอ่อล้นด้วยความรักชีวิตหนึ่งให้ดับสิ้นลงไปตรงหน้า เลือดที่มือยังเปียกชื้น สีแดงคล้ำเลอะเทอะปนเศษมันสมองเหนอะหนะส่งกลิ่นควาคละคลุ้งไปทั่วห้อง ห้องเล็ก ๆ ที่เคยโอบล้อมความรักของผู้คนในห้วงเวลาที่เหมือนเยื้องย่างในดินแดนสวรรค์ กลับกลายเป็นพื้นที่สังหารที่ไม่หลงเหลือความปราณี ห้องที่ยมทูตยืนยิ้มขณะมองดูการบรรเลงเพลงบาป ด้วยตัวโน๊ตแห่งความชิงชัง และเสียงคอรัสอย่างโหยหวน
ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือที่เปื้อนเลือด แล้วร้องไห้ ...
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มันเป็นพรสวรรค์ หรือเสียงสาปแช่งจากนรก ที่ประทานความสามารถทางด้านคีตศิลป์ให้ผมมาแต่กำเนิด แม่เคยเล่าให้ผมฟังนานมาแล้ว ว่าผมผิวปากเป็นตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ผมเริ่มเอาปากไล่เป่าอะไรต่อมิอะไรที่มันมีความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าปากของผม ผมเป่ามันทุกอย่าง ปากขวดนม ขวดแม่โขงของพ่อ ท่อเอสล่อนยาวฟุตครึ่งที่เหลือจากช่างประปาที่มาต่อท่ออ่างล้างมือหลังบ้าน ผมเคยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ตอนที่ลองเป่าแกลลอนใส่น้ำที่มีน้ำเหลือก้นแกลลอน มันเป็นอะไรที่เป่ายากมาก ๆ มันใหญ่ มันกว้างเกือบเท่าปากของผมที่อ้ากว้างสุด ๆ เสียงที่ได้ยินทุ้มต่ำ .. บูม .. บูมม .. เหมือนเสียงทรอมโบน ผมลองเอาน้ำกรอกลงไปอีก ระดับน้ำสูงขึ้น ผมเป่ายากขึ้น มันต้องใช้แรงมาก เสียงที่ได้สูงขึ้นอีกครึ่งอ๊อกเต็ด ผมนั่งเป่าปากแกลลอนใส่น้ำกรองโดยไม่สนใจกับน้ำที่นองพื้นจากการพยายามปรับบันไดเสียง
พ่อเคยบอกให้ผมลองเป่าครก ... เสียงที่ได้ คือลมหายใจแหบโหยของเด็กผู้ชายที่พยายามเค้นเสียงจากหินสำหรับตำน้ำพริกอย่างเอาเป็นเอาตาย และเสียงหัวเราะชอบใจของพ่อที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ อย่างสนุกสนาน
บ่าย ๆ ของวันเสาร์ที่เนิ่นนาน แม่เดินเข้ามาหาผมตอนที่ผมกำลังนั่งจับทางเมโลดี้ของนกกระจิบ 2 ตัวที่กำลังส่งเสียงร้องประสานเสียงกันอยู่ที่ใต้กอไผ่ แม่ยื่นท่อนไม้กลวงกลมยาวไม่ถึงศอกที่มีรูเจาะตามแนวยาว 8 รู และอีก 1 รูในฝั่งตรงข้าม แม่บอกผมว่า ชาวบ้านเรียกขานนามของไม้ท่อนนี้ว่า ขลุ่ย แม่ยิ้มอย่างมีความสุข และบอกให้ผมลองเป่า
ผมหลับตา จ่อจรดปลายท่อนไม้กลวงกลมเข้าหาริมฝีปาก นิ้วไล่ปิดทุกรูที่มีบนเลาไม้ ผมหายใจเข้าปอดจนสุด แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจผ่านรูเล็ก ๆ ที่ปลายท่อนไม้ นิ้วที่ปิดอั้นตามรูค่อย ๆ ไล่เปิดช้า ๆ ...
โด .. เร .. มี .. ฟา .. ซอล .. ลา .. ที .. โด๊ ....... โด๊ .. ที .. ลา .. ซอล .. ฟา .. มี ..เร .. โด
ผมไล่ลมพลางเปิด-ปิดนิ้วขึ้นลงอีก 2 รอบจนแน่ใจ .. 7 ตัวโน๊ต ... ผมได้บันไดเสียงเมเจอร์โดยไม่ต้องคอยเติมน้ำเหมือนตอนผมเป่าแกลลอน แม่เป็นผู้จูงผมขึ้นบันไดเสียงที่แสนสวยงาม ผมระบายลมผ่านร่องรูเหนือปลายไม้ท่อนนั้น เล่าเรื่องราวอันสนุกนานทำนองนกกระจิบที่ผมนั่งฟังมันคุยกันมาครึ่งวัน และแม่ยังนั่งยิ้มอยู่ตรงนั้น ...
แม่บอกผมว่า .. มันคือ .. แฮ็ปเปนนิ่งอาร์ต
ผมเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ดี ภาษาสันสกฤตห่วย หน้าที่พลเมืองและสังคมพอผ่าน ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ได้เกือบศูนย์
แต่วิชาดนตรี ผมหอบเกรด 4 กลับมาฝากแม่ทุกเทอม จะไปสนใจมันทำไมว่าชมพูทวีปตั้งอยู่ที่ไหน การล่มสลายของอารยธรรมโรมาเนสส่งผลกระทบต่อวิกฤตการณ์และรูปแบบการปกครองของจักรวรรดิ์โรมันยังไง แค่การเป็นคนดี เป็นเยี่ยงไร จะจรรโลงความสุขแก่คนรอบข้างด้วยท่วงทำนองเยี่ยงไร นั่นก็พอแล้ว โลกยังทุกข์ระทมกับชนชั้นวรรณะไม่พออีกหรือ ราคาชีวิตของคนชั้นต่ำยังไม่พอกับการเทียบเคียงจีดีพีของประเทศใช่มั้ย ... ให้ความบันเทิงเริงใจแด่พวกเขาทั้งมวล ที่ตากหลังกับแผ่นฟ้า ตากหน้ากับแผ่นดิน ปักกล้าพืชพรรณทั้งปวงลงในท้องพื้นที่ชุ่มฉ่ำ อันบังเกิดผลผลิยอดที่อิ่มเอมในหม้อหุงข้าว และเดินทางถ่ายเทเข้าสู่ท้องอันแน่นเนืองด้วยความสุขของหมู่เรา
แบ่งความสุขให้เขา ด้วยท่วงทำนองอันเริงรื่น ... ไม่ได้เชียวหรือ
แม่ไม่เคยว่าอะไร ... แม่ไม่บ่นเรื่องผมเรียนประวัติศาสตร์ไม่ดี ไม่สนใจที่ผมเกือบตกภูมิศาสตร์ ไม่ว่าที่ผมอ่อนเลข
แม่จะยื่นเครื่องดนตรีใหม่ ๆ มาให้ผมทุกครั้งที่ผมเอาเกรด 4 วิชาดนตรีไปอวดแม่ แม่จะพาผมไปเข้าครอส์ซัมเมอร์ทุกฤดูร้อน ให้ผมได้พบวิธีใหม่ ๆ ในการเล่นดนตรี ได้ซึมซาบทักษะจากครูบาอาจารย์ชั้นยอด ... แม่ไม่เคยเสียดายตังค์
แต่พ่อไม่ได้มองเห็นว่า .. มันคือ แฮ็ปเปนนิ่งอาร์ต
พ่อของผมเป็นนักปกครอง การเป็นนักปกครองเป็นเรื่องยาก หมู่คนร้อยสีพันหน้า ต่างที่มาที่ไป หลากหลายชนชั้นวรรณะ การกวาดต้อนฝูงคนไม่เหมือนฝูงแกะในทุ่ง แส้ที่โบยตีบนหลังแกะบอกย้ำถึงสิ่งที่มันควรกระทำ เดินไปเข้าฝูง ทำตัวให้เหมือนเพื่อน ๆ สิวะ
พ่อโบยตีฝูงคนที่ไม่เชื่อฟัง การปกครองของพ่อดูเหมือนวินัยการรบในสงครามที่ดุเดือด ที่ทหารหาญต้องเดินหน้าเข้าโจมตีที่หมายอันว่างเปล่าจากศัตรู แต่เพื่อการยึดครอง การเปล่งชัยชนะเหนือความปวดร้าว เหล่าทหารทุกผู้ต้องรุกคืบหน้า ตามแผนการบังคับบัญชาของท่าน
พ่อกวาดต้อนทุกคนในชีวิตของพ่อ ไปในทิศทางที่พ่อต้องการ ตามหลักของนักปกครอง ไม่เว้นแม้แต่ลูกของตัวเอง
พ่อมองวิญญาณกบฏในสำเนียงดนตรีของผมอย่างเหยียดหยาม พ่อเริ่มหงุดหงิดตอนกลับบ้านแล้วมาเจอผมนั่งไล่โน๊ตเพลง Song Bird ของเคนนี่ จี พ่อเตะผมพ้นจากทางบันไดของพ่อ ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปด้วยความขุ่นเคืองในกรรมการบริหารพรรคที่ไม่เชื่อฟังพ่อ
............. ผมนอนกอดโอโบที่แม่ซื้อให้ ตอนที่น้ำตาไหลท่วมความจุกเสียด .............
วินาทีที่ยาวนาน เคลื่อนผ่านเข็มนาฬิกาที่ผนัง ผมยังคงหมกมุ่นกับดนตรีที่ผมรัก พ่อยังคงปกครองบ้านทั้งหลังให้ไปตามที่พ่อต้องการ และแม่ยังคงร้องไห้หลังจากกระทบสันแข้งของพ่อด้วยข้อหาที่ซื้อเทป The Cranberries ให้ลูก ..
หรือแม่มองมันว่าเป็น .. แฮ็ปเปนนิ่งอาร์ต
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
การโบยบินอย่างอิสระ กางปีกเข้าครอบคลุมผมตอนที่พ่อไล่ผมออกจากบ้าน บ้านที่เคยอึกทึกด้วยเสียงด่าทอของพ่อ เสียงสะอื้นไห้ของแม่ ... และเสียงดนตรีของผม
ในถุงตาข่ายอันถักทอด้วยความปวดร้าวที่หุ้มห่อจิตใจ ผมเริ่มระบายลมจากสำเนียงของความหฤหรรษ์ เพื่อลืมหลงลืมบาดแผลแห่งชีวิต สานตาข่ายโน๊ตที่มองไม่เห็น ผ่านเครื่องดนตรีที่ผมแสนรัก ท่วงทำนองที่แหบโหยในสเกลบลู แฝงความหวานชื่นที่คาดฝันจะพบพาน และสะดุ้งตื่นในความจริงของร็อค แอนด์ โรลที่แสนดุดัน
ผมเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักดนตรีอาชีพ ... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ใต้แสงดาวยามคืนค่ำ สะท้อนเงาวิบวับผ่านของเหลวในแก้วใส การสบตากับความสุขและกล่าวต้อนรับมันด้วยเสียงหัวเราะ ไฟที่สาดฉายไปบนเวที สร้างเงาที่เต้นตามร่างนักดนตรีหนุ่มขณะบรรเลงบทเพลงจากเครื่องเป่าในทำนองของความรัก ความทุกข์ระทมถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูทางเข้า มันยืนรออยู่ตรงนั้น รอเวลาที่เหล่าเจ้าของจะเดินออกมารับมันกลับบ้าน จะอย่างไรเสียการวางเฉยกับความกลัดกลุ้มเบื้องนอก เติมเต็มความสุขให้ค่ำคืนอันยาวนานก็น่าจะสร้างสมดุลบ้างกับห้วงชีวิตที่แสนสั้น และ ณ ที่แห่งนั้น ที่ทำให้ผมพบกับ ... รัตน์
รัตน์ นั่งฟังตอนที่ผมเล่นอยู่บนเวทีเสมอ เวทีที่มีเสียงคลื่นเป็นแบ็คกราวด์เบื้องหลัง และแสงไฟสาดส่องเป็นโฟร์กราวด์เบื้องหน้า เธอจะนั่งติดหน้าเวที ใกล้ขนาดเพียงเอื้อมก็สัมผัสถูกตัวของผม แต่เธอก็นิ่งงันอยู่เยี่ยงนั้น ปล่อยให้สายตาโลมลูบร่างที่สะบัดไหว ปล่อยให้สองหูซึมซับวลีทำนองที่โหยหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดของผมอย่างเป็นสุข ...
บางครั้ง แรงปราถนาสิ่งใดอย่างดุดัน ก็เปี่ยมเสน่ห์ประการหนึ่ง สำหรับคนที่นั่งคอยการมาถึงของความรักชั่วชีวิต แม้นิดหนึ่งประกายของความรัก .. ก็สุดแสนจะมีค่า และผมปล่อยใจให้ความรักโอบล้อม ด้วยความเด็ดเดี่ยวอันใสซื่อของรัตน์ รักที่มีเพียงเราสอง รักที่ไม่ต้องถามหาที่มาที่ไป รักในท่วงทำนองที่โศกสลดของชีวิต รักที่เป่าความคิดฝันให้ฟุ้งกระจายไปเบื้องหน้า ....
รักที่มีแต่เราสองคน
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เวลาแห่งความสุข เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเสมอ จากความรักของคนสองคน กลายเป็นความรักของคนสามคนเมื่อเรามีลูกชายด้วยกัน ผมเล่นตัวโน๊ตอันสนุกสนานบนสนามเด็กเล่นกับลูกชายในตอนกลางวัน บรรเลงขับกล่อมผู้คนที่ขมขื่นยามค่ำคืน ชีวิตที่ดนตรีห้อมล้อมอยู่รอบกายช่างแสนสุดบรรเจิดในสายตาของผม แต่เริ่มไม่ใช่ในสายตาของรัตน์ เธอเริ่มบ่นถึงสภาพความเป็นอยู่ของเรา เธอบอกว่าเธอเหนื่อยกับการต้องไปหาเลี้ยงเราสองคนพ่อลูก และเหนือสิ่งอื่นใดเธอเดือดดาลทุกครั้งที่พบว่ามีหญิงสาวคนอื่น ชื่นชมในท่วงทำนองการเล่นดนตรีของผม เธออยากให้ผมบรรเลงบทเพลงแด่เธอเท่านั้น ในขณะที่ผมอยากให้คนฟังดนตรีของผมทั้งโลก<br />
ทีละน้อยของความหงุดหงิด สะสมจนอารมณ์เดือดประทุ เธอเริ่มกระแทกกระทั้นข้าวของใส่ผม บ่นกรอกหูในเรื่องไม่เป็นเรื่อง พูดถึงแต่เรื่องชีวิตการเป็นนักดนตรีของผม เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มพูดผมก็จะเริ่มเล่นดนตรีทันที ผมแค่อยากให้ความละมุนละไมในเสียงหวานซึ้งดับความร้อนแรงในใจของเธอให้เย็นลง แต่มันเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เธอยังกอดความเดือดพล่านไว้กับอกราวกับเด็กน้อยกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรด เมื่อการระบายอารมณ์ใส่ผมเหมือนการปาลูกบอลใส่ผนัง ที่ยิ่งเธอปาเข้าใส่แรงเท่าใดมันก็สะท้อนกลับไปแรงเท่านั้น เธอก็หันไปเขวี้ยงอารมณ์เข้าใส่ลูกชายของเราแทน
ผมเคยเห็นเธอตบลูกจนหัวทิ่ม ด้วยโทษฐานที่เด็กชายฉี่ไม่ลงโถส้วม ...
เมื่อเด็กน้อยอายุครบเกณฑ์ ผมก็จัดการส่งเข้าโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งด้วยความจำใจ ภาพอดีตที่เจ็บปวดในวัยเยาว์ของผมยังตรึงแน่นในห้วงสำนึก และผมไม่อยากให้ลูกต้องมาพบพานสิ่งนั้นอีก ถึงแม้การต้องพรากจากในตอนนี้ แต่ผมคิดว่าจะเป็นผลดีกับเขาในระยะยาว ให้เขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่สวยงาม ไม่ต้องมาพบเจอกับอารมณ์อันขุ่นมัวของคนเป็นแม่ ที่นับวันจะไข่วคว้าหาความสุขจากการกินอย่างดุดัน รัตน์หยุดบ่นผมเมื่อมีอะไรก็ได้ที่มันสามารถเคี้ยวอยู่ในปาก พออันนี้หมดเธอก็ไปหาอันอื่นมากินอีก ร่างกายอันอ้อนแอ้นที่ผมเคยโอบกอด และลูบไล้เนียนเนื้อนุ่มละมุน ค่อย ๆ ขยายออกราวกับลูกโป่งที่โดนอัดลมเข้าไปข้างใน เธอกลายเป็นลูกโป่งที่เบ่งพองอย่างไม่หยุดยั้งราวกับจะประชดประชันกับการเล่นดนตรีของผมว่า ใครจะแน่กว่ากัน
เสียงแห่งทำนองในใจผมเริ่มบรรเลงอย่างปวดร้าว ... และระทมทุกข์
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมเริ่มออกมานั่งที่ชายหาดบ่อยครั้ง ฟังเสียงคลื่นบรรเลงบทเพลงแห่งธรรมชาติตามจังหวะการสาดซัด และคอรัสโดยทรายเม็ดละเอียดขาว ผมเป่าโน๊ตล้อตามอย่างอ่อนระโหย ลอกทำนองคำถามที่อยู่ในใจผ่านนิ้วที่ปิดกันประตูเสียงราวกับปิดกั้นความฝ้นร้ายทั้งปวง
และเมื่อท่อนสุดท้ายของบทเพลงถูกส่งผ่านสายลม ผมถึงรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ลมหายใจอ่อนละมุน ดวงตาดำขลับ รอยยิ้มน้อย ๆ และเส้นผมยาวสยายปลิวรับท่วงทำนองของบทเพลงอย่างรมย์รื่น กลางราตรีดาวพราวฟ้า ที่ผมได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจอีกดวงหนึ่ง ที่แทบจะเป็นบีทเดียวกับการเต้นของหัวใจของผม หญิงสาวคนนั้นเธอชื่อ มัจ
มัจ มาฟังผมเล่นดนตรีบ่อยขึ้น เธอจะนั่งติดหน้าเวทีเหมือนที่รัตน์เคยนั่ง ท่วงทำนองจากการขับขานของผมเริ่มกลับมามีสีสรร มันเป็นโน๊ตที่เริ่มงอกจากผืนใจที่หดหู่ แตกหน่อช่อใบด้วยน้ำคำของเธอที่เพียรราดรด ความสุขเดินทางกลับมาหาผมอีกครั้งหลังจากโบกมือลาไปแสนนาน บนเวทีที่ไฟฉายสาด เงาร่างของนักดนตรีหนุ่มคนนั้นเริ่มเต้นรำต้อนรับความเบิกบาน เราพูดคุยกันมากขึ้น ถ่ายทอดความฝันให้กันฟัง เธอหัวเราะตอนที่ผมบอกว่าจะเล่นดนตรีให้โลกยิ้ม และบอกถึงตะวันที่ขอบฟ้าฟากโน้นที่เธอฝันถึง มัจ เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เริ่มถ่างออกไปของผมกับรัตน์ และผมบอกกับตัวเองว่า จะอย่างไรเสียการวางเฉยกับความกลัดกลุ้มเบื้องนอก เติมเต็มความสุขให้ค่ำคืนอันยาวนานก็น่าจะสร้างสมดุลบ้างกับห้วงชีวิตที่แสนสั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
และมันก็แสนสั้นจริง ๆ เมื่อรัตน์รู้ความจริงของเราสองคนเข้า เธอกรีดร้องอย่างบ้าระห่ำ ขว้างปาข้าวของทุกอย่าที่สามารถหยิบฉวยพลางร่ำไห้โฮ ๆ ตะโกนด่าทออย่างหยาบคายถึงความไม่เอาไหนของชีวิตนักดนตรีของผม ลำเลิกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยหาให้มากระแทกกระทั้นใส่หน้าผม แล้วความรักของเราที่เคยมีให้กันล่ะ มันหายไปไหน บทเพลงที่รัตน์เคยชื่นชอบ ความสุขของเราสองคนล่ะ มันไม่หลงเหลือความหมายใดในใจรัตน์อีกแล้วหรือ ผมตะโกนถามกึกก้องในอกแต่มันไม่มีเสียงใดลอดออกมาจากปากอันหนักอึ้ง ผมยังยืนมองเธออาละวาดอย่างนิ่งเฉยด้วยความหวังว่าเหตุการณ์เบื้องหน้ามันจะหยุดซะที
จนกระทั่ง ... เธอโยนกล่องเครื่องดนตรีของผมลงโครมต่อหน้า !
นี่ไง .. ดนตรีของแก ไอ้คนเกาะเมียกิน
ผมก้มลงหยิบมันด้วยมือที่สั่นระริก ฝามันแบะเปิดอ้า เครื่องดนตรีที่เคยถักทอใยแห่งรักผูกเราสองคนไว้ในความฝันบุบบู้บี้ ครั้งหนึ่งมันเคยเห่กล่อมเธอให้หลับใหลในความฝันอบอุ่น บัดนี้กลับกลายเป็นเศษซากความทรงจำที่ยับเยินเกินกว่าจะกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกแล้ว น้ำตาผมค่อย ๆ ไหลหยดลงแตะต้องมันอย่างแผ่วเบา
รักมันมากนักใช่มั้ย .. งั้นก็ตายไปกับดนตรีเฮงซวยของแกซะ ไอ้หน้าตัวเมีย .. ! สิ้นเสียงแผดด่ากึกก้อง รัตน์เตะโครมเข้าที่ชายโครงของผมที่กำลังนั่งก้มหน้า แรงปะทะอันหนักหน่วงจากเรือนร่างใหญ่โตส่งผมให้กลิ้งลงไปตามแรงเตะ ความจุดเสียดแล่นพราดไปทั่วร่าง โลกทั้งใบหมุนตลบคว้าง ผมเห็นภาพพ่อเตะผมตกบันไดตอนที่ผมนั่งไล่โน๊ตเพลง Song Bird ของเคนนี่ จี ผมได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ตอนที่โดนพ่อเตะเพราะซื้อเทป The Cranberries ให้ผม และผมรู้สึกว่า การถูกเตะ มันไม่ใช่ .. แฮ็ปเปนนิ่งอาร์ต อีกต่อไป
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมกระชากหัวรัตน์ขึ้นมาก่อนจะฟาดสิ่งที่สร้างเสียงเพลงแห่งความสุขของเรา ใส่ใบหน้าที่เปื้อนเลือดของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันหนักหน่วง สม่ำเสมอ และเป็นจังหวะจะโคนตามเสียงเต้นของหัวใจของผม ..
ผลั่ว .. !
ผลั่ว .. !
ผลั่ว .. !
ผลั่ว .. !
ผลั่ว .. !
...
...
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้า เช็ดเลือดและเศษมันสมองของรัตน์ที่เปื้อนมือ ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่ลืมที่จะเก็บเครื่องดนตรีอันบุบบู้บี้ของผมลงกล่องแล้วหิ้วออกมาด้วย หมดเวลาแสดงเพลงบาปด้วยตัวโน๊ตแห่งความชิงชัง และเสียงคอรัสอย่างโหยหวนแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นลงพร้อมกับลมหายใจของรัตน์ ผมตัดสินใจเดินหันหลังให้ความรักที่เธอเคยมอบให้จนหมดหัวใจ
มัจ รอผมอยู่ที่ชายหาด เราจะเดินทางไปที่ขอบฟ้าฟากโน้นที่อยู่ในฝันของเธอ ฝันที่เธอเคยเล่าว่าอยากเห็นผมอยู่ด้วยกันกับเธอตรงนั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แล้วพี่จะทิ้งศพไว้อย่างนั้นเหรอ .. เดี๋ยวตำรวจก็มาเจอหรอก
มัจ ถามผมตอนที่อิงเข้ามาในอ้อมกอด และกลิ่นหอมอ่อนละมุนโชยมาเรือนผม
เฮ่ย .. พ.ศ.นี้ ยังไม่มีตำรวจหรอก กว่าจะมีใครรู้เราก็เผ่นไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว
ผมตอบเธอก่อนจะกระชับวงแขน จรดปากเข้าหาพวงแก้มนวลอิ่ม และแดงซ่านอย่างเขินอาย มัจ เอานิ้วเขี่ยปลายจมูกผมเล่น
เป็นนักดนตรีนี่ .. มันดียังไงน้อ ... เธอกระซิบถาม
ผมจ้องมองวงหน้าสวยซึ้ง ตาโตดำขลับ และเส้นผมที่ปลิวสยายก่อนจะตอบเธอว่า ...
อันดนตรีมีคุณทุกสิ่งไป
เปรียบได้ดั่งจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช
จตุบาทกลางป่าพนาสินธุ์
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
แม้สงสัยไม่สิ้นในวิญญา
จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มัจ วาดยิ้มในวงหน้าสวยซึ้ง ก่อนจะกระชับอ้อมกอดพี่อภัยมนีของเธออย่างแนบแน่น และขยับหางของเธออย่างเป็นสุข ...
_____________________________________________________________
บันทึกท้ายเรื่อง ...
ความตั้งใจแรกที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพราะต้องการเข้าร่วมการประกวดเรื่องสั้น Thai Writer Award ครั้งที่ 5 ฤดูกาล 2547-48 สนามนักเขียนเรื่องสั้นในโลกไซเบอร์แห่งหนึ่งที่ผมเองก็ติดตามมานาน มโนภาพเห็นเรื่องสั้นของเราได้ไปยืนเรียงในรายนามผู้เข้าประกวดซึ่งผมเองก็คุ้นเคยอยู่หลายต่อหลายคน
ความหวังมลายไปสิ้น .. คุณ นิวัติ editer ของเวปไซต์ไทยไรท์เตอร์ คงพิจารณาเห็นถึงจิตถึงใจของผมเลยที่เดียวเชียวแหละว่า ฝีมือขนาดนี้ ไปฝึกมาอีก 5 ปีเหอะไอ้น้อง ถึงได้ไม่ผ่านเรื่องสั้นของผมให้ขึ้นทำเนียบผู้เข้าร่วมประกวดประจำปีนี้ วาบแรกที่เห็นเรื่องของคนอื่น แต่ไม่เห็นเรื่องของผม ผมน้อยใจ ... ผมต่ำต้อยกว่าใคร ตรงไหน ... ?
ถ้าคุณเสนาะ เทียนทอง บ่นว่าเป็นโรคขาดศักดิ์ศรีความเป็นคนอย่างรุนแรง ผมก็คงเป็นตรงกันข้าม ตรงที่ต่อมหยิ่งยโสอักเสบ ตอนที่กล่าวกับชายอีกคนที่จ้องตาเขม็งกร้าวอย่างไม่ลดละในกระจกว่า กูจะไม่กลับไปเหยียบไทยไรท์เตอร์อีก ...
ไม่ได้โกรธได้เคืองใคร แต่การตระหนักในเกีรยติของตนบนถนนนักเขียน น่าปกป้องรักษาไว้มากกว่าที่จะพยายามแต่งเรื่องสั้นเรื่องใหม่เพื่อเข้าร่วมประกวดอีกครั้ง .. เพื่ออะไร ? เราเองเรายังเคารพข้อเขียนของคนอื่นทุกวลี คำที่ถูกร้อยเรียง ไม่ว่าหยาบว่าละเอียด สวยงามหรือหยาบคาย คือประติมากรรมทางความคิดที่ถูกบดนวดมาจากวัตถุดิบในสมองของผู้เขียน ไม่มีใครหน้าไหนในโลกมาบอกได้ว่า งานชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าพอ ....
มันมีคุณค่าพอเสมอ สำหรับผู้เขียน ... คำวิจารณ์จากผู้อ่าน คือการบอกมุมองของคนผ่านทางเท่านั้นว่าเขาคิดอย่างไรเห็นอะไรในงานของเรา นักเขียนที่ดีจะนำสิ่งสะท้อนเหล่านั้นมาพัฒนางานชิ้นต่อไป ๆ ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก แต่ไม่ใช่การเอางานไปให้ใครคนใดคนหนึ่งอ่านแล้วพิจารณาเองว่า งานชิ้นนั้นดีงานชิ้นนี้ ใช้ไม่ได้ ....
ผมตระหนักในใจเสมอว่ายังอ่อนด้อยในโลกเปื้อนหมึกใบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าใครจะมาขากถุยใส่หน้าได้ง่าย ๆ กำปั้นของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็มีน้ำหนักของมันเหมือนกัน ...