โดยมิได้นัดหมาย
คงเป็นเพราะช่วงหยุดยาว ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ที่ทำให้รถโดยสารป.2 สายกรุงเทพฯ-สุรินทร์เที่ยวนั้น แน่นเป็นพิเศษ
15.00 น. คือเวลาที่ระบุไว้ในตั๋วโดยสารไม่มีเลขที่นั่ง ว่ารถจะเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งหมอชิต และในเวลาที่ว่านั้น บนรถมีเก้าอี้เสริม(พลาสติก)เพิ่มขึ้นมาอีกแถว ซึ่งมันได้ทำให้รถป.2 ที่ปรกติมีเก้าอี้เรียงชิดกันแน่นอยู่แล้ว ทวีความหนาแน่นขึ้นมาอีกเท่าตัว จนอุณหภูมิของแอร์ไม่สามารถระบายอากาศและความอึดอัดได้
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเดินทางไปด้วยรถคันนี้อย่างผม ย่อมโชคร้ายกว่านั้น...
ด้วยความหนาแน่นของผู้โดยสารที่แทบจะทะลักล้น ผมและเพื่อนร่วมทางอีกหลายคนจึงถูกระเห็จลงไปนั่งชันเข่ารวมกันอยู่ที่ใต้ท้องรถ ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างให้มองออกไปภายนอก แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ทุกคนดูจะยอมรับสภาพและไม่มีใครแสดงอาการโต้แย้งหรือเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ให้ตนเอง
อีกกว่า 6 ชั่วโมง ที่ผมจะต้องถูกจองจำอยู่ใต้ท้องรถคันนั้น เวลาคงผ่านไปอย่างเชื่องช้าสุดประมาณ
ตลอดเส้นทาง ผมแทบไม่รู้(ความจริงคือไม่รู้เลย)ว่ารถแล่นผ่านไปถึงไหนต่อไหน รู้แต่ว่าในระหว่างทางที่ผมมองไม่เห็นนั้น รถได้แวะจอดรับคนขึ้นมาเป็นระยะๆ และแน่นอน พวกที่ขึ้นโดยสารทีหลังทุกรายถูกส่งไปนั่งเบียดเสียดกันอยู่ใต้ท้องรถทั้งหมด ทีนี้พอจะเดาออกไหมว่าภาพของความแออัดนั้นเป็นแบบไหน
ความจริง เฉพาะแค่การที่ผู้โดยสารต้องนั่งเบียดเสียดกันไปทั้งคันรถก็ดูน่าจะเป็นเรื่องแย่พออยู่แล้วสำหรับรถป.2 คันนี้ แต่เมื่อรถจอดรับชายคนหนึ่งขึ้นมาและยัดเขาเข้าไปอยู่รวมกับชุมชนแออัดใต้ท้องรถ ความยุ่งยากใจในเรื่องที่ผ่านๆ มาก็กลายเป็นเรื่องเล็ก ..โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปัญหาที่เราได้รับจากชายคนนี้ในเวลาต่อมา
"น้องๆ เดี๋ยวแวะจอดซื้อเหล้าให้พี่หน่อยได้ไหม" ชายที่มาใหม่พูดกับกระเป๋ารถ
"ไม่ได้หรอกพี่ บนรถห้ามกินเหล้า" กระเป๋ารถบอกกติกา
"หน่อยน่า พี่ให้ 50 บาทต่างหาก เดี๋ยวน้องแวะซื้อเหล้าให้พี่แบน"
"ไม่ได้ครับ มันเป็นกฎ ! " กระเป๋ารถพูดเฉียบขาด ชายคนนั้นไม่พูดต่อ แต่เขาพยายามเบียดร่างผู้คนที่นั่งยัดกันเหมือนอัดกระป๋องเข้าไปถึงกระเป๋ารถจนได้ ผมเห็นยิ้มของเขา
"พี่ถูกชะตากับน้องจริงๆ เดี๋ยวพี่จะให้พระสักองค์" พร้อมๆ กับที่พูด ชายคนนั้นควักเอาสร้อยประคำที่ห้อยพระไว้เป็นพวงออกมาจากในเสื้อ เขาถอดสร้อยเส้นนั้นออกจากคอ ยื่นส่งให้กระเป๋ารถ
"นี่เพราะถูกชะตาหรอกนะ เลือกเอาเลยหนึ่งองค์" เขายื่นพวงสร้อยประคำที่ชุมนุมอยู่ด้วยเกจิจากหลายสำนักส่งให้กระเป๋ารถ กระเป๋ารถมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าว่าเขาจะเป็นคนชอบพระเครื่องอยู่ไม่น้อย
"พี่ให้ผมเลือกจริงหรือ ?" ชายเจ้าของพระเครื่องเหลือบตามอง พร้อมพยักหน้า กระเป๋ารถจึงเด็ดพระองค์หนึ่งไป
ภาพที่ผู้ร่วมชะตากรรมใต้ท้องรถต่างเห็นโดยพร้อมเพรียงอย่างมิได้นัดหมาย ตอนที่รถจอดเติมน้ำมันในปั๊มแห่งหนึ่ง คือชายหน้ามันเจ้าของพระเครื่องพวงใหญ่ พร้อมด้วยสุรา 35 ดีกรีหนึ่งแบน เขาค่อยแกวกเข้าไปนั่งกร่างอยู่กลางความแออัดด้วยท่าทีไม่กลัวใคร มือซ้ายบิดขวาขวดเหล้าเสียงดังกร๊อบ
"พี่ๆ บนรถเขาห้ามกินเหล้า" เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งร้องเตือน
"ใครห้าม?" ชายที่มีขวดเหล้าอยู่ในมือถาม พร้อมกวาดสายตามองไปรอบทิศทาง ผมมองไปที่กระเป๋ารถ เห็นเขาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ มือกุมกระเป๋าเสื้อที่ใส่พระเครื่องไว้แน่น ชายผู้ถือเหล้ายิ้มอย่างสาแก่ใจ เขายกขวดเหล้าขึ้นดื่ม ราวกับกำลังฉลองชัยชนะต่ออะไรบางอย่าง
คงพอจะเดากันออกใช่ไหม หลังจากดื่มเหล้าไปได้ครึ่งแบน ชายผู้มากมายด้วยบารมีก็เริ่มออกฤทธิ์เดช เกะกะระรานสะเปะสะปะ มือไม้อยู่ไม่เป็นที่ เที่ยวจับหน้าจับนมเมียชาวบ้านเขาไปทั่ว กลิ่นเหล้าก็คละคลุ้งไปทั้งคันรถ ที่สำคัญ กระเป๋ารถก็ดูกระอักกระอ่วนจนไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เลย มันเป็นความจริงที่ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และผมเริ่มยอมรับกับมันไม่ไหว
"เอาเงินไป เอาเงินปายย " ขี้เมาหน้ามันพยายามอวดกระเป๋าและเงินที่เขามีให้คนอื่นๆ ดู ไม่มีใครสนใจเขา ทุกคนมีแต่ความอึดอัด รำคาญ และอยากกระโดดถีบ(ถ้าทำได้) พร้อมกันนั้น เขาพยายามยกเอาพวงพระที่เขามีขึ้นมาโชว์หลายครั้ง ทั้งหมดทั้งปวงที่เขาทำ มันทำให้เวลาหกชั่วโมงที่ยาวนาน กลายเป็นหกชั่วโมงในนรกโดยแท้
ค่ำแล้ว รถจอดรับประทานอาหาร ข้างนอกรถมีฝนตก นั่นทำให้ทุกคนพยายามรีบวิ่งฝ่าสายฝนออกไปจนไม่มีใครสนใจใคร และแน่นอนที่สุด ไม่มีใครสนใจชายคนนั้น
จนกระทั่งรถออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมๆ กับความอิ่มหนำของผู้โดยสาร เราจึงพบว่าชายคนหนึ่งกำลังประสบกับข่าวร้าย
กระเป๋าเงินของชายขี้เมาสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เขาโวยวาย ทว่าในใจชองทุกคนคงมีแต่เสียงหัวเราะเยาะ
"ใครเอาเงินกูไป ใครเอาไป ช่วยกันหาหน่อย ถ้าใครเจอเดี๋ยวจะให้ห้าร้อย" เขาพยายามหาทางเพื่อจะได้กระเป๋าคืน แต่ไม่เป็นผล เขายกเหล้าขึ้นซดวูดใหญ่
"อย่าให้กูรู้ว่าใคร อย่าให้กูรู้!" แล้วไม่นานเขาก็หลับผล็อยไป
ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของชายคนนั้นอีก หลังจากที่ผมลงจากรถที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สิ่งเดียวที่ผมรู้ คือเขาคงไม่มีวันพบกระเป๋าใบนั้น เพราะตอนที่กลับขึ้นรถหลังกินข้าวเสร็จ ผมเห็นชาย 3 คนกำลังแบ่งบางสิ่งบางอย่างกัน ก่อนจะเอากระเป๋าใบหนึ่งทิ้งถังขยะไป
ไม่ใช่เฉพาะผม แต่พนันได้ว่าเกือบทุกคนที่โดยสารรถคันเดียวกันมาก็เห็นอย่างนั้น และหนึ่งในสามคนที่ว่าก็คือกระเป๋ารถคันนั้นนั่นเอง
ผมไม่แปลกใจที่ไม่มีใครช่วยชายขี้เมารายนั้น ทุกคนรวมตัวกันไม่ช่วยโดยมิได้นัดหมาย
...วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา...