...ตื่นคืน...
&ตื่นคืน&
ในบรรยากาศของค่ำคืน
ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อค้าอย่างที่ผมเคยรู้จัก ตลอดแนวยาวของฟุตปาธหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถานที่ซึ่งผู้ค้านานาสรรพสิ่งเข้าจับจองพื้นที่จนเต็มความจุ ทั้งแผงขายอาหาร เสื้อผ้า โหราศาสตร์ ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง โดยมีร้านของเขาตั้งอยู่นอกสุดใต้เงาสลัวของร่มก้ามปู
ร้านของเขาประกอบไปด้วยโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กหนึ่งโต๊ะ และบนโต๊ะนั้นก็มีกล่องขนาดสักเท่ากล่องรองเท้าตั้งอยู่ 2 กล่อง ซึ่งภายในกล่องนั้นเองที่ได้เก็บสินค้าของเขาเอาไว้อย่างมิดชิด
เขาเป็นชายร่างเล็ก อายุอาจจะมากสักหน่อย เขาใส่ชุดซ้ำกันบ่อยๆ จนผมสังเกตได้ บางวันจะมีเด็กชายตัวเล็กๆ ไปนั่งรอลูกค้ากับเขาด้วย ทุกครั้งที่เด็กตัวเล็กๆ คนนั้นไปนั่งอยู่กับเขา เด็กคนนั้นจะเอาหมาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งไปเป็นเพื่อนเล่นของเขา
ครั้งหลังสุดที่ผมเห็นเด็กเล็กๆ คนนั้น (ซึ่งไม่ใช่ในคืนหลังสุดที่ผมกล่าวถึง) เชื่อผมเถิดว่ามีแต่หมาเล็กๆ ของเขาเท่านั้นเอง ที่ผมเห็นมีพัฒนาการเจริญขึ้น ส่วนพวกเขาทั้งสองคนกลับไม่เคยโตขึ้นเลย
ที่จริงแล้ว ไม่ค่อยมีใครใส่ใจความเป็นไปของพ่อค้าใต้เงาร่มก้ามปูคนนี้นัก อาจจะมีบ้างสำหรับคนที่เผลอคิดไปว่าเขาเป็นหมอดู และถ้ามี เหตุการณ์นั้นก็คงเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้วและไม่เกิดอีกเลย ผมจึงไม่เคยเห็นยามที่เขามีลูกค้า
ในเมืองที่เจริญด้วยแสง สี เสียง ในระดับเทียบเทียมกรุงเทพมหานคร ไม่บ่อยครั้งที่ไฟฟ้าเมืองนี้จะดับ บรรยากาศกลางคืนจึงยิ่งคึกคักกว่ากลางวัน สิ่งที่เหลืออยู่กับค่ำคืนกลายเป็นสิ่งบันเทิง จนกระทั่งมาถึงคืนที่ผมจะกล่าวถึง คือคืนหลังน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 50 ปี เมืองเชียงใหม่ไฟดับเกือบทั้งเมือง
น้ำท่วมใหญ่คราวนี้เอ่อล้นแม่น้ำปิงเข้าท่วมทั้งสองฝั่งตลิ่ง ฝั่งหนึ่งคือฝั่งสถานีรถไฟ น้ำท่วมสูงครึ่งบ้านและไฟดับทั้งหมด ส่วนอีกฝั่งคือฝั่งตลาดวโรรส ฝั่งนี้ไฟดับเป็นบางส่วน แต่เฉพาะเขตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งอยู่บนพื้นที่สูงเชิงดอยสุเทพนั้น ไฟไม่ดับ
การค้าและผู้คนบริเวณหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คึกคักเป็นปรกติ จนเมื่อเวลาผ่านเข้าสู่ช่วงยี่สิบเอ็ดนาฬิกา จึงปรากฏว่าอยู่ๆ ไฟก็ดับสนิท ทุกคนโกลาหลในความมืด ก่อนเทียนจะค่อยถูกจุดขึ้นทีละดวง
อากาศเย็นลง ใครหลายคนรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าหลายรายเริ่มตัดสินใจกลับบ้าน ผมเองซึ่งอาศัยอยู่ในซอยวัดอุโมงค์ไม่สามารถจะกลับไปได้ เพราะในซอยมืดมาก จำเป็นต้องรอให้ไฟฟ้าสว่างจึงจะเดินทางกลับที่พักได้ แต่ก็คือความมืดกับช่วงเวลาที่เหลือนั้นเอง นำพาตัวผมไปพบกับสินค้าของเขาใต้ร่มก้ามปู
ผมเริ่มด้วยบทสนทนาในสิ่งที่สงสัยมานาน
ขายอะไรครับลุง
หิ่งห้อย
หิ่งห้อย คราวนี้ผมย้ำคำ เขาพยักหน้ารับ
จะเลือกดูก่อนไหม ลุงขายไม่แพงหรอก
ที่อยู่ในกล่องนี้หรือครับ ?
อืม!
แล้วก็กล่องใบนี้ด้วย ? ผมชี้ไปที่อีกกล่อง เขาส่ายหน้า
อ้าว! แล้วกล่องนี้มีอะไรอยู่ข้างในหรือครับ
ก็.. หิ่งห้อยเหมือนกัน
มีคนจองแล้ว ?
เปล่า หิ่งห้อยในกล่องนั้นตายหมดแล้ว
ผมไม่รู้ว่าเพราะความมืดด้วยหรือเปล่า แต่เวลานั้นรู้สึกว่าผู้คนจะเบาบางลงมากแล้ว ผมเข้าใจว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบหิ่งห้อย ที่จังหวัดสมุทรสาครมีธุรกิจโฮมสเตย์ที่อาศัยการพายเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืนเป็นดึงดูดลูกค้าด้วยซ้ำ หากก็คาดไม่ถึงว่าจะมีใครคิดจับหิ่งห้อยมาวางขายแบกะดินได้เช่นเขาคนนี้
แต่ที่ผมสงสัยมากกว่าคือคนชนิดไหนกัน ที่เป็นผู้มาซื้อหิ่งห้อย
จะรอพบกับเขาไหมล่ะ ?
เขา ? หมายความว่าลุงมีลูกค้าประจำหรือครับ แล้วคืนนี้เขาบอกว่าจะมาหรือ ?
ก็สักสี่ทุ่มเห็นจะได้ ถ้าเขาไม่มาลุงก็กลับ และคงไม่มาขายหิ่งห้อยที่นี่อีกแล้ว ผมมองไปในทิศของซอยวัดอุโมงค์ คืนนี้-เวลานี้..มันมืดยิ่งกว่าถ้ำ กับความอยากรู้อยากเห็นของผมที่ดำมืดพอกัน เมื่อเวลาเดินทางมาเกือบถึงสี่ทุ่ม จึงเหลือเพียงพ่อค้าหิ่งห้อยกับผม ที่รอคอยลูกค้าประจำของเขาอยู่ในความมืดสนิท
เราเกือบจะกลับกันแล้วตอนที่เธอไปถึง ใช่ ควรจะเรียกว่า เธอ จึงจะเหมาะสม
วันนี้ได้หิ่งห้อยมากี่ตัวจ๊ะลุง
สองร้อยสามตัวครับ
มันสว่างหมดทุกตัวใช่ไหม ?
เดี๋ยวเปิดดูก่อนก็ได้ครับ เขาค่อยยกฝากล่องขึ้นเพื่อเปิดให้เธอได้เห็นสินค้า หิ่งห้อยจำนวนนับร้อยแข่งกะพริบแสงสีนวลวะวับวิบ วะวับวิบ & มันหลายตัวบินพรูขึ้นบนอากาศ กระจัดกระจายขึ้นไปจับบนกิ่งต้นก้ามปู กับอีกหลายตัวที่บินลอยแสงส่องกะพริบ ล่องธารอากาศไปตามทิศของดอยสุเทพ ในนวลแสงกะพริบของหิ่งห้อยนั้น ผมเห็นรอยยิ้มเริงร่าของหญิงสาว เห็นเธอยิ้มพร้อมกับน้ำตาของเธอ และเธอไม่ต่อว่าเขาสักคำ ในฐานะพ่อค้าที่ปล่อยให้หิ่งห้อยจำนวนมากบินออกไปจากมือของเธอ
เท่าไรจ๊ะลุง ? เธอถามราคา ทั้งที่เวลานั้นในกล่องเหลือหิ่งห้อยอยู่เพียงแค่ 4 ตัวเท่านั้น
เก้าร้อยบาทครับ ตลอดเวลาแห่งการมาของเธอ เสมือนว่าเธอไม่เห็นผมมีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลย เธอส่งเงินจำนวนเก้าร้อยบาทให้กับเขา ขณะที่เขากลับส่งกล่องหิ่งห้อยที่ตายแล้วให้เธอแทนกล่องที่เพิ่งปล่อยหิ่งห้อยออกไป เธอรับกล่องนั้นเอาไว้ แล้วค่อยเดินลับไปในความมืด
หลายนาทีต่อมา&
นี่เธอมาซื้อหิ่งห้อยที่ตายแล้วหรือครับลุง
เปล่านี่ ลุงขายหิ่งห้อยเป็นๆ ให้เธอ
แต่ลุงบอกกับผมว่าในกล่องนั้นเป็นกล่องใส่หิ่งห้อยที่ตายแล้ว
คืนพรุ่งนี้มันจะกลับมามีชีวิตใหม่
จริงหรือครับ ? ผมประหลาดใจมากกับข้อมูลที่ได้นี้ แต่ยิ้มของเขาเท่านั้นที่แทนคำตอบ
บอกได้ไหมครับว่าลุงไปจับหิ่งห้อยพวกนี้มาจากไหนตั้งมากมาย
ก็จับมาจากความมืดน่ะสิ
ที่ไหนล่ะครับ ? เช่นเดิม มีแต่รอยยิ้มในแสงหิ่งห้อย
จริงหรือลุงที่คืนพรุ่งนี้หิ่งห้อยในกล่องนั้นจะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่
คุณคงเจอคนโกหกมากมายในโลกนี้สินะ
ถ้าผมจะเชื่อลุง&
ไฟฟ้าสว่างพอดีตอนที่ผมกำลังรอคำตอบท้ายๆ จากเขา แต่ไม่มีคำใดๆ จากเขาอีกเลยหลังจากที่ไฟสว่าง ผมจำต้องกลับบ้านไปพร้อมๆ กับหลายสิ่งอย่างที่ค้างคาในใจ
จนหลายคืนจากนั้น น่าประหลาดใจที่ผมไม่ได้พบทั้งเขาและเธออีก พ่อค้าหิ่งห้อยหายสาปสูญไปจากสถานที่ของเขา พร้อมๆ กับปริศนาว่าหิ่งห้อยในกล่องนั้นจะฟื้นขึ้นได้จริงหรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากคืนนั้น มีเพียงห้องว่างที่ติดกับห้องของผมมีคนย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ กับการที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่นอกระเบียงห้องในยามค่ำคืน มีหิ่งห้อยจำนวนไม่น้อยลอยแสงกะพริบ สวยและเศร้า
เธอห้องข้างๆ ย้ายมาอยู่ได้ไม่กี่วันก็ย้ายออกไป ผมไม่รู้ว่าเธอมีปัญหาอะไรในชีวิตมากมาย ไม่เคยเห็นเธอ แต่ได้ยินเสียงเธอร้องไห้ทุกคืน
คนดูแลหอพักของผมก็เพิ่งเปลี่ยนใหม่ เขาจัดการอะไรยังไม่ค่อยถูก ขนาดกล่องจดหมายที่เขาถือกุญแจไว้ เขายังไม่เคยเปิดมันเพื่อนำจดหมายไปส่งให้ถึงห้องเจ้าของจดหมาย จนผมต้องบอกให้เขาไขกุญแจนำจดหมายของผมไปส่งที่ห้องของผมด้วย(โดยให้เขาสอดจดหมายทางใต้ประตู) ปรากฏว่านอกจากเขาจะสอดจดหมายของผมไว้ให้แล้ว เขายังแนบเอาจดหมายของห้องข้างๆ มาส่งที่ห้องของผมอีกต่างหาก
ห้องข้างๆ ไม่มีใครอยู่แล้ว ผมตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะนำจดหมายไปส่งคืนคนดูแลหอพัก แต่คืนนั้น ทันทีที่ผมดับไฟเตรียมพร้อมจะนอนหลับ แสงนวลกะพริบวะวิบวะวับ ก็ขับทอออกมาจากซองจดหมายจนผมตกใจ นั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมถือวิสาสะเปิดซองจดหมายฉบับนั้น แล้วทันใดนั้นหิ่งห้อยจำนวนนับสิบก็พรูว่อนออกมาส่องแสงวะวิบวะวับไปทั้งห้องนอน ไม่มีข้อความในซองจดหมาย ยกเว้นรูปถ่ายใบหนึ่ง เป็นรูปหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยอย่างไทยๆ ผมงามยาวประบ่า แต่ในดวงตากลมนั้นเหมือนไร้แววชีวิต หลังรูปเขียนข้อความไว้สั้นๆ ว่า..
ฉันรอเธอตื่นอยู่เสมอ อังศุมาลิน