ที่รักเมื่อฉันตาย
ที่รักเมื่อฉันตาย
ที่รัก...ฉันคิดถึงเธอ
บางคืนละเมอเพ้อผวา
หัวใจฉันอาบคราบน้ำตา
ซึ้งคุณค่าคำว่ารัก
รักนี้แผ่ไกลไพศาล
จึงต้องทนร้าวรานอย่างหน่วงหนัก
ซากศพเลือดรายคอยทายทัก
เตือนให้ฉันประจักษ์ความเป็นจริง
ที่รัก...ฉันยังต้องยืดเยื้อ
อาจเสียเลือดเนื้อสงบนิ่ง
กระสุนเพียงหนึ่งลูกถ้าถูกยิง
อาจจะล้มลงกลิ้งไม่กลับคืน
สั่งความมาตามสายลมหนาว
ส่งใจผ่านดวงดาวอันดาษดื่น
ตราบใดชีพยังย่อมหยัดยืน
ไม่มีวันเป็นอื่นหรอกแก้วตา
ที่รักเมื่อฉันตาย
ช่วยฝังศพฉันไว้กับภูผา
กาพย์กลอนฉันเขียนพากเพียรมา
ส่วนไม่มีคุณค่าให้เผาไฟ
บอกให้ลูกของฉันได้รู้ว่า
ศพของบิดาอยู่ที่ไหน
และให้อธิบายตายเพื่อใด
พ่อของลูกทำอะไรเล่าให้ฟัง
ที่รักเมื่อฉันตาย
หลั่งน้ำตาได้ อย่าสิ้นหวัง
หากยิ่งต้องเสริมเพิ่มพลัง
ลูกชายเรายังต้องหยัดยืน
อบรมบ่มสอนให้ลูกแค้น
เป็นตัวตายตัวแทนมิเป็นอื่น
ถ้าแม้นลูกโตมาถามหาปืน
ก็อย่าได้ขัดขืนเจตนา
ที่รัก...หากฉันยัง
ยิ้มให้กับความหวังบรรเจิดจ้า
จะโอบกอดเมียแก้วมิสร่างซา
จูบรับขวัญลูกยาให้ชื่นใจ
จะซับน้ำตาแม่ที่นองหน้า
แล้วปลอบขวัญแม่จ๋าอย่าร้องไห้
จะก้มกราบเท้าพ่อขอพรชัย
สิ้นสุดการลาไกลที่กังวล
ยิ้มริมแก้มแย้มละไมแห่งวัยหวาน
ดูซิดอกไม้บานทุกแห่งหน
ดูซินั่นธงชัยของไพร่พล
บอกค่าความเป็นคนได้กลับคืน
ที่รัก...ฉันรักเธอ
น้ำตาฉันล้นเอ่อแอบสะอื้น
เจ็บปวดชอกช้ำกล้ำกลืน
ฉันเป็นเพียงเศษฟืนในกองไฟ
ภูมิใจที่เป็นธุลีดิน
ถึงชีวิตสูญสิ้นยังยิ้มไหว
ฝากบอกลูกยาด้วยอาลัย
วิญญาณพ่อเป็นไท...นิรันดร.
(ชีวิตมิใช่ความฝัน วิสา คัญทัพ สนพ.ฉับแกระ ๒๕๓๑)
งานเขียนสมัยเดือนตุลาของวิสาชิ้นนี้ นำมาพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเป้นเล่มโดย สนพ. ฉับแกระ ปี ๒๕๓๑ เป็นงานที่เห็นถึงความเคียดแค้นและชิงชังรัฐบาลผู้ปกครองอย่างที่สุดชิ้นหนึ่ง การสั่งเสียลาตายเมียลูกเพื่อไปจับปืนรบกับทหาร เป็นภาพที่ทั้งหดหู่และฮึกเหิมไม่ใช่น้อย
ในชิ้นนี้มีวรรทองอยู่สองที่คือ --
ที่รักเมื่อฉันตาย
ช่วยฝังศพฉันไว้กับภูผา
กาพย์กลอนฉันเขียนพากเพียรมา
ส่วนไม่มีคุณค่าให้เผาไฟ
เป็นการยืนยันเด็ดเดี่ยวในแนวความคิดของตน สมัยนั้นหนังสือที่ถูกฝ่ายซ้ายประนามว่าจอมปลอม ลวงโลก ไร้สาระ กระทั่งมอมเมา ได้ถูกทำลายไปนักต่อนัก กระทั่งวรรณคดีต่างๆ นั่นเป็นวิธีคิดแบบซ้ายจัด แบบสตาลิน แบบแกงค์สี่คนในจีน "ส่วนไม่มีคุณค่าให้เผาไฟ" ก็จัดอยู่ในแนวคิดนั้น ยิ่งผู้เขียนเป็นคนบอกให้เผางานของเขาเอง ยิ่งทำให้เห็นชัดถึงการปะทะกันของสังคมเก่าและใหม่สมัยนั้นชัดเจน
อบรมบ่มสอนให้ลูกแค้น
เป็นตัวตายตัวแทนมิเป็นอื่น
ถ้าแม้นลูกโตมาถามหาปืน
ก็อย่าได้ขัดขืนเจตนา
บทนี้ต้องขนลุก ความเคียดแค้นชิงชังมันมากมายเหลือประดา เมื่อมองยุคสมัย มองผู้ปกครอง มองการโดนกระทำของประชาชนในสมัยนั้น เราเข้าใจได้ จึงไม่แปลกที่เพียงชั่วปี 2519 ปีเดียว ป่าจึงพรึบสะพรั่งด้วยธงแดงทั่วทุกเขตป่าเขาในประเทศไทย
ชิ้นนี้วิสาอัดความรู้สึกลงไปจนล้น และมันน่าจะจบลงตรงบทที่ว่า
"อบรมบ่มสอนให้ลูกแค้น
เป็นตัวตายตัวแทนมิเป็นอื่น
ถ้าแม้นลูกโตมาถามหาปืน
ก็อย่าได้ขัดขืนเจตนา"
ที่เหลือต่อมาจากบทนี้มันเป็นการพยายามหาทางลงของงาน รวมทั้งการพยายามเน้นในหัวข้อเรื่องที่รักเมื่อฉันตายมากไป จนงานขาดพลังและน่าเบื่อในช่วงท้าย
เอามาให้อ่านกันครับ ต้อนรับ "เทศกาล 14 ตุลา" ร้านเหล้าเพื่อชีวิตก็คงคึกคักกันทั่วถ้วน มีนิทรรศการ มีการอ่านบทกวี มีการเล่นเพลงสดุดีวีรชน รับทรัพย์ไปเนื้อๆ