กราฟชีวิตของเธอ
.
.
อ า ก า ศ ชื้ น ๆ ย า ม เ ย็ น ข อ ง ห น้ า ฝ น . .
ดูคล้ายจะมีส่วนตอกย้ำความหม่นหมองในแววตาของเธอ ให้ดูหมองเศร้าลงไปอีก
" เราจะทำยังไงกับชีวิตต่อไปดีฮึ... " . . วันนี้เธอพูดประโยคนี้กับฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้
" ค่อยๆ คิดละกันติ๊ก คิดทีละเรื่อง " . . ฉันคิดคำพูดสำหรับเวลานี้ ได้ดีที่สุดแค่นั้น
" ร้านน่ะ เราว่าเราจะปิด ขายล้างสต็อกแล้วปิด ได้เงินมัดจำคืนมา ได้ทุนคืนมาบ้าง
คงพอมีเหลือทำอะไรต่อ ... เฮ้อ.. จะทำอะไรต่อดีล่ะ " . . เธอคิดเรื่องแรกให้ฉันฟังพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
" ตอนนี้เรายังไม่รู้จะเอายังไงดีเลย...
เรื่องบ้าน จะไปอยู่ที่ไหน ก็ติดตรงหมาของเราน่ะ ต้องมีบริเวณให้เค้าวิ่งเล่น เป็นคอนโด หรือพาร์ทเม้นท์ไม่ได้แน่ๆ อยู่บ้านนี้ค่าเมนทาแนนซ์ก็บานเบอะ เราคงไม่ไหว "
" เราเกรงใจว่ะ ถึงห้องเรามันจะแยกจากบ้านใหญ่ก็จริงนะ
แต่ยังไงๆ มันก็ไม่ใช่บ้านเราอยู่ดีน่ะ แล้วนี่เดือนหน้า เค้าจะไปอยู่ที่โน่นกันหมด
เราจะต้องอยู่คนเดียว บ้านหลังขนาดนี้ เราดูแลไม่ไหวหรอก
เรารู้นะ ถ้าไม่ติดว่าเรายังอยู่ พี่เค้าคงประกาศให้ฝรั่งมาเช่าแล้วแหละ
มันเป็นเงินเลยนะ เดือนๆ นึงน่ะ ถึงเค้าไม่เอ่ยปากไล่เราเพราะเราเป็นน้อง
แต่เราก็รู้ตัวนะว่าควรหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว " . . เธอเล่าให้ฉันฟังบ่อยๆ
ถึงปัญหาระหว่างเธอกับพี่สาวเจ้าของบ้านที่เธอไปพักอยู่ด้วย
สองอาทิตย์ก่อน ฉันได้พบหน้าค่าตาของ พี่สาว พี่ชาย ของตุ๊กติ๊กอีกครั้ง
หลังจากที่ไม่ได้เจอประมาณสิบกว่าปีได้
"สวัสดีค่ะพี่ตุ๊กตา พี่เต้ย" . . พี่ๆ ทุกคนรับไหว้ฉันด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
บรรยากาศที่ห่อหุ้มด้วยละอองของความสูญเสียอย่างในห้องไอซียู
อีกทั้งเสียงและภาพเส้นกราฟจากมอนิเตอร์
ส่งสัญญาณที่หมายถึงการเต้นของชีพจรที่ค่อยๆแผ่วเบาลง . . .
คงไม่มีใครยิ้มออกหรอกนะ
หลังจากคุณหมอบอกว่า คนไข้จากเราไปแน่นอนแล้ว
ฉันยืนอยู่ในห้องนั้นอีกแค่ไม่กี่นาทีก็เดินออกมา. . คงเหลือแต่พี่ๆน้องๆ
" เราเสียใจด้วยติ๊ก " . . ฉันไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่านั้น
ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่ากอดเพื่อนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
แล้วร่วมวงร้องไห้ไปด้วยอีกคน
" เราไม่อยากร้องเลย จริงๆนะ เราไม่อยากให้แม่เห็นว่าเราอ่อนแอ
เราอยากให้แม่รู้ว่า เราอยู่ได้ แม่จะได้ไปโดยไม่ต้องห่วงเรา "
. . ติ๊กพูดพร้อมกับยกมือปาดน้ำตาอย่างอ่อนแรง
คุณแม่ของติ๊กจากไปด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก
ติ๊กโทษตัวเองบ่อยๆว่า แม่คงเครียดเรื่องของเธอ
ซึ่งฉันไม่อยากให้ติ๊กคิดแบบนั้นเลย มันเป็นการโทษตัวเองที่หนักหนาเกินไป
เพราะก่อนหน้าที่คุณแม่ของติ๊กจะเสียชีวิต เพียงแค่หนึ่งวัน
คุณน้า..น้องสาวแท้ๆของแม่พึ่งจะจากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจล้มเหลว
ภายในสองเดือนที่ผ่านมา...
ฉันได้รับข่าวความสูญเสียของของตุ๊กติ๊ก ถึงสี่ครั้ง
พี่สะใภ้ หลานชาย น้า และ แม่
ทำให้ฉันลืมเรื่องที่หนักหนาสาหัสของตุ๊กติ๊กอีกเรื่องหนึ่งคือ..เรื่องธุรกิจของเธอ
ตุ๊กติ๊กเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์แฮนด์เมดเล็กๆ
ซึ่งธุรกิจดูเหมือนจะไปได้ดีในระยะแรก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปยอดขายของร้านเริ่มลดลง ลดลงเรื่อยๆ
เธอเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง หมุนเงินไม่ทัน ทำให้เธอขาดการชำระค่างวดรถหลายเดือน
จนกระทั่งบริษัทไฟแนนซ์ มาลากรถของเธอไป ....ในวันเผาศพคุณแม่
ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่า ความรู้สึกของตุ๊กติ๊กจะเป็นอย่างไรบ้าง
ในเมื่อวันที่รถโดนยึด เป็นวันเดียวกับงานเผาศพคุณแม่
เธอพูดกับฉันว่า ...." เราจะทำอะไรได้ นอกจากยืนมอง "
ยื น ม อ ง ... เหมือนวันหนึ่งของประมาณสิบเดือนก่อน
วันที่ตุ๊กติ๊กแยกทางกับสามีจอมเจ้าชู้ ซึ่งอยู่กินกันได้ประมาณสองปี
สามีซึ่งดูเหมือนจะตกลงปลงใจกับตุ๊กติ๊กเพราะเขารู้สึกได้หน้าได้ตา จากการได้ชื่อว่า
เป็นแฟนของสาวจบโทจากนอก บ้านรวยเข้าขั้นเศรษฐี
ระยะแรกๆ ที่เขาจีบตุ๊กติ๊ก เขามักจะแนะนำใครต่อใครว่า
" นี่ตุ๊กติ๊กแฟนผมครับ จบโทจากเมกา บ้านมีโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ส่งออกครับ "
เขาคงไม่รู้ ถึงสาเหตุการกลับเมืองไทยของตุ๊กติ๊ก
พี่ๆ เรียกตัวตุ๊กติ๊กกลับมาดูแลพ่อซึ่งล้มป่วยด้วยโรคที่มีสาเหตุหลักจากความเครียด
เกือบๆจะเรียกได้ว่าเป็นอัมพาต
ความเครียดซึ่งมีสาเหตุจากการที่โรงงานและบริษัทอิมพอร์ตเอ๊กซ์พอร์ตของคุณพ่อ
เป็นหนึ่งในแบล็คลิสต์ ลูกหนี้เอ็มพีแอล
ตุ๊กติ๊กกลับมาพร้อมกับแบกตราลูกหนี้หลายสิบล้าน ในฐานะลูกสาวคนเล็กซึ่งมีชื่อผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ทรัพย์สินที่มี พี่น้องทุกคนรวมทั้งตุ๊กติ๊กด้วย จำเป็นจะต้องนำมาใช้หนี้ธนาคาร
" ยังดีนะที่เราได้ใช้วิชาความรู้มาช่วยที่บ้าน ตอนนี้หนี้เบาลงไปเยอะแล้ว พอไหวน่ะ "
. . เธอบอกฉันหลังจากเธอกลับมาอยู่เมืองไทยหกเดือน
" แต่เราก็ไม่เหลืออะไรแล้วนะ คงต้องเริ่มจากศูนย์จริงๆแล้วหละ
เราไม่อยากทำงานกับที่บ้านอีกแล้ว เพราะเราคงเป็นน้องเล็กในสายตาพี่ๆ แบบนี้ตลอดไป
ฐานะของเราคงไม่พ้นลูกจ้างบริษัทอยู่ดีนะแหละ
และเราก็ไม่อยากทำงานบริษัท ไม่อยากทำงานรูทีน ไม่ชอบเป็นลูกน้องใคร
เราอยากเปิดกิจการเล็กๆ ของเราเองน่ะ "
ญาติพี่น้องทุกคนของเธอไม่มีใครเห็นด้วยกับกิจการเล็กๆ แบบที่เธอคิด
เพราะปริญญาโทสองใบ กับประสบการณ์การทำงานอีกหลายปีในอเมริกา
แต่เธอยืนยันว่า นั่นคือฝันเล็กๆ ที่เธอมีความสุข
มันอาจจะตรงข้ามกับชีวิตหรูหราเมื่อครั้งกิจการของที่บ้านยังเฟื่องฟู
ตุ๊กติ๊กเดินทางเป็นว่าเล่น ระหว่าง อเมริกากับหลายๆประเทศในยุโรป
เธอไม่ได้ไปเที่ยวหรอกนะ เธอไปเรื่องงานซึ่งพี่ๆ ที่เมืองไทยให้เธอรับผิดชอบ
และตุ๊กติ๊กทำได้ดี
ฉันยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งที่ตุ๊กติ๊กกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมด้วยหนุ่มญี่ปุ่น
เธอหอบอัลบั้มรูปมาให้ฉันดู ฉันยังแอบนึกอิจฉาชีวิตของเธอมากมาย
" ทำบุญด้วยอะไรเนี่ยติ๊ก ได้เที่ยวเยอะขนาดนี้ โฮ้ยยยย อิจฉาๆ " . . วันนั้น ตุ๊กติ๊กหัวเราะสดใสไปกับคำพูดของฉัน
เป็นเสียงหัวเราะแบบเดียวกับที่ฉันคุ้นเคย ตั้งแต่สมัยเรียน
.... เธอเป็นเพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่ขับเบนซ์มาเรียน
วันนี้ เธอไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง
วันนี้ เธอไม่มีรถขับ
วันนี้ เธอไม่มีธุรกิจของตัวเองอีกแล้ว
" จะกลับไปทำงานที่โน่น ก็นะ... ตอนนี้ เงินจะกินข้าว ยังหายากเลย "
" เราไปสมัครงาน ที่ไหน เขาก็บอกว่า โอเวอร์ควอลิไฟด์ไม่กล้ารับเราทำงาน "
แ ม่ จ า ก เ ธ อ ไ ป
ครอบครัวของพี่สาว จะย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่นิวซีแลนด์
พี่ชายกำลังมีปัญหาครอบครัวของเขาแบบหนักหนาสาหัส
วั น นี้ . . . . . .
ตุ๊กติ๊ก ถามฉันโดยดูเหมือนไม่ต้องการคำตอบ..อีกครั้งว่า
" เ ร า จ ะ ทำ ยั ง ไ ง กั บ ชี วิ ต ต่ อ ไ ป ดี . . . "
.
.
.