เรื่องสั้นปอแมน : อะไรในถัง
เรื่องสั้น : อะไรในถัง
ผมไม่กล้าพูดว่าเจ้าสิ่งนั้นคือ มนุษย์ มันไม่เคยส่งเสียงร้องหรือแสดงความประสงค์ใดๆว่าอยากจะสนทนากับผม มีแต่เพียงร่างใหญ่ๆ และ เสียงเสื้อคลุมสีดำยามปะทะกับลมแรงๆเท่านั้น ที่บอกผมว่ามันไม่ใช่สัตร์หรือสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกว่ามนุษย์ แต่มันไม่ใช่พวกเรา
จำนวนตัวเลขอายุของผม เป็นไปในทางเดียวกับการปรากฏตัวขึ้นของมัน ยิ่งวัน เดือน และปีผ่านไปมากเท่าไร การขยายพันธ์ของตัวประหลาดชุดดำรอบๆตัวผมก็มีมากเท่านั้น ผมไม่แน่ใจว่าการเจอกันครั้งแรก ระหว่างผม กับ ตัวประหลาดชุดดำ เป็นวันนั้นหรือเปล่า คืนที่หญิงผู้เป็นคนแหกมดลูกนำผมออกมาบอกว่า อย่าออกจากบ้านตอนดึกนะลูก มันมีตุ๊กแกมาจับเด็กกินตับ ความทรงจำขมุกขมัวกับกลายเป็นแจ่มใสเมื่อผมพบว่าที่ข้างกาย มีเจ้าตัวประหลาดหลังค่อมสวมชุดฮู้ดสีดำสนิท มายืนหายใจฟืดฟาดข้างเตียงนอนตอนดึกประจำ จากนั้นมันโผล่มายืนทักทายอย่างเงียบๆเป็นระยะๆของช่วงชีวิตผมเสมอ ที่ประจำคือข้างเตียงนอน ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร ปะปนกับกลุ่มคนบนรถเมล์ ยื่นเคียงคู่อาจารย์ผู้สอน ลอยตัวเหนือผิวน้ำทะเล ยื่นตรงแถวG-7ในโรงภาพยนต์ อยู่ด้านหลังสาวสวยที่หมายปอง ในทุกอริยาบท มันจะทำซ่ำๆกันทุกครั้ง คือ มองผ่านผู้คนมายังผม พยายามทำตัวให้คุ้นชินกับมัน แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงทำไม่สำเร็จ ทั้งๆที่พักหลังมักพบเจอเจ้าตัวประหลาดทุกวันของชีวิต หลายครั้งที่คิดว่าตัวเองพบวิธีกำจัดมันได้ แต่ไม่วายมันยังกลับมาได้ราววัชพืช ซ่ำยังเพิ่มปริมาณมากกว่าเดิม บางคืนผมหลับฝันโดยมีพวกมันยืนรายล้อมมากกว่าสิบตัว ผมไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไร ไม่กล้าแม้จะคิด
เป็นเวลากลางดึกของค่ำคืนหนึ่ง ถนนเล็กๆในซอยอันชื้นแฉะมีเพียงไฟสีส้มริมถนนเท่านั้นที่ยืนทำหน้าที่ให้แสงสว่าง แต่มันไม่เพียงพอที่จะส่องให้เห็นมุมหรือซอกความเน่าเหม็นได้ชัดเจน ผมเดินออกไปในทางเชื่อมต่อถนนสายใหญ่อย่างไรเหตุผล ยังไม่ทันจะโผล่ออกไปหน้าปากซอย ผมเจอลุงใบ้ผมขาวที่ชาวบ้านเรียกว่า"บ้าใบ้"เพราะแกควบสองตำแหน่งเป็นทั้งคนบ้าและคนใบ้ โดยที่ไม่ได้มาถือใยบัวแต่อย่างใด ไม่มีใครรังเกียจเพราะว่าลุงใบ้ไม่ได้ทำอันตราย หรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร นั้นเป็นสาเหตุที่แกไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยโรงพยาบาลประสาทที่ไหนในโลก ตั่งแต่เด็กแล้วที่ผมเห็นแกใส่เสื้อตัวสีขาว กางเกงสามส่วนสีดำ จนกระทั้งโตพอที่จะรู้ว่าหยดอสุจิสามารถสร้างคนได้ แอ๊ปเปิ้ลตกลงพื้นเพราะแรงโน้มถ้วงของนิวตัน ก็ยังเห็นบ้าใบ้ ใส่เสื้อสีขาว กางเกงสามส่วนสีดำ ใครที่เคยพูดไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลโดยเฉพาะมนุษย์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว อาจจะเกิดความไม่แน่ใจ จะให้ตึกร้านตัดผมโดยทุบทิ้ง เจ้าของร้านขายยามีลูกสาวเพิ่ม ถนนลูกรังเป็นราดยาง ราดยางเป็นสีเลน โรงเรียนมัธยมต้นเป็นมัธยมปลาย สาวสวยขายน้ำเต้าหู่เป็นสาวใหญ่ลูกติด ร้านป้าไหวขายของชำปรับเป็นเซเว่น-อีเลเว่น น้ำแห้งเป็นน้ำท้วม น้ำท้วมเป้นฝนแล้ง รัฐบาลชาติชาย อนันต์เป็น ชวน บรรหาร ชวลิต ถึงทักษิณ บ้าใบ้ ยังคงผมหงอก เสื้อขาว และ กางเกงสี่ส่วนสีดำ
"ออ... เอ๊ะ เอ๊ะ" ประโยคติดปากของแก "เอ๊ะ เอ๊ะ" ซอยว่างเปล่านั้น มีแต่ผมกับลุงใบ้ ประโยคดังกล่าวจึงเป็นอืนไปไม่ได้นอกจากแกกำลังสื่อสารกับผม ผมหงายฝ่ามือออก หวังว่าภาษาใบ้น่าหมายความว่า "อะไร" แกชี้โบ๊ชีเบ๊ไปที่กองขยะ แล้วพูดซ่ำว่า "เอ๊ะ เอ๊ะ"(หรืออาจจะพูดอย่างอื่น แต่แกสือสารได้แค่สองคำ) คราวนี้ผมหงายฝ่ามือทั้งสองข้างระดับอก พร้อมกับทำหน้าตาโง่ๆ คำว่า "อะไร" น่าจะถูกสื่อสารออกไปบ้าง ลุงใบ้คว้าข้อมือผม แล้วเดินจูงนำหน้าไป ผมรู้สึกขำ มันเหมือนความรู้สึกที่เด็กน้อยจูงมือพ่อไปดูอะไรสนุกๆที่รออยู่ ตรงกองขยะนั้นมืดมิด และมีกลิ่นเหม็นเน่า อาจเพราะบริการที่สุดแสนจะประทับใจของพนักงานเก็บขยะเทศบาลที่ทุกครั้งที่จัดเก็บจะต้องทิ้งเศษขยะเอาไว้ดูต่างหน้าตามพื้นถนนอยู่เสมอ แต่... ในเมื่อขยะถูกเก็บไปแล้ว อะไรทำให้ลุงไบ้ตื่นตัวราวกับว่ามีทองอยู่ในกองขยะได้ขนานนั้น? ผมมองลงไปในถังขยะใบสูงเท่าเอว ไฟข้างถนนให้แสงสว่างได้เพียงครึ่งถังที่ว่างเปล่า ยังมีมิติลี้ลับที่ไม่ได้รับการเปิดเผยอยู่ที่ก้น ผมทำท่า"อะไร"เป็นครั้งที่สาม ลุงใบ้ลื่อสารภาษากายที่ผมไม่เข้าใจ สาบานว่าให้แกพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงสก็อตทิสยังจะพอจับใจความได้มากกว่า ผมพยายามใส่ใจในลายละเอียด ทุกท่าทาง แล้วใช้จินตนาการ แล้วก็มีกริยาหนึ่ง เป็นการยกนิ้วชี้และกลาง เหมือนท่า "สู้ตาย" แต่แกงอนิ้วทั้งสอง แล้วกดมันลงไปที่ท่อนแขนอีกข้าง ผมหยุดยิ้ม ต่อด้วยท่า ยืดแขนไปตรง แล้วส่ายซ้าย ขวาคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ผมกลืนน้ำลาย ท่ากรงเล็บขวนอากาศ และ ท่าบีบคอตัวเอง แล้วลุงใก็แลบลิ้นประหนึ่งว่าจะโดนฆ่าด้วยมือของตัวเอง ไฟสีส้มๆนั้นประกอบการเล่าเรื่องของลุงใบ้ได้เขย่าขวัญยิ่ง ผมปาดเหงื่อ แกชี้ลงไปที่ถังขยะใบสูงเท่าเอว ผมส่ายศีรษะ แกจับหัวผม พยายามที่จะกดลงไปในถัง ผมขัดขืน ขนานนั้นเอง ผมมองออกไปรอบๆในซอยเงียบ มืดสลัว และว่างเปล่า พวกมันยืนล้อมผมเป็นฝูง หายใจฟืดฟาด ประสานกัน
งูตัวใหญ่เท่าขาช้าง โผล่หัวออกมาเหนือขอบถัง แยกเขี้ยวแสย่ะยิ้มเยาะไม่ไกลจากลุงใบ้ ผมถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวใหญ่ ลุงใบ้ขยับมาจับมือผมอีกครั้ง แต่ผมไม่ยอมให้ทำง่ายๆอีกแล้ว หลังจากยื้อกันสักพัก งูตัวที่เห็นกลับหายไป แทนที่ด้วยหมีตัวใหญ่ร้องก้อง กรงเล็บที่เกาะขอบถังนั้นบ่งบอกสรรพคุณได้ว่า สบายมากเมื่อเทียบกับการฉีกเนื้อผมเป็นล้านๆชิ้น นั้นแย่พอกับที่หูของผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากเจ้าพวกผ้าคลุมดำรอบๆตัว นานเท่าไรแล้วที่ได้ยินชัดขนาดนี้ และก่อนสติผมจะกระเจิง ลุงใบ้ใช้นิ้วชี้ขึ้นประกบปาก ไม่รู้ว่าผมรู้ได้ไง แต่จิตใจผมบอกว่านั้นเป็นสัญญาณบอกว่า "สงบก่อน" บ้าใบ้ล้วงประเป๋าเสื้อ มันคือไฟแช็ก
แสงสว่างถูกปลุกขึ้นที่ปลายมือ ไฟกระพริบพรึบพรับตามแรงโยกของกระแสลม แต่มันไม่ดับ หมีและงูตัวใหญ่หายไป ลุงใบ้ใช้มืออีกข้างกดหัวผมลงไปดูในถังพร้อมไฟแช็ก ผมหลับตาอย่างกลัวๆ ก่อนค่อยๆเปิด น้องเชียร์ ยิ้มหวานให้ผม พร้อมกลิ่นเหม็นตุๆใต้ก้นถังขยะ มิติลี้ลับถูกแสงสว่างเปิดออก ผมขำปนสมเพชตัวเองที่ปล่อยให้ความกลัวเข้ามาคลอบงำจิตใจได้เพียงนี้ ก่อนที่ผมจะสังเกตว่าเสียงหัวเรอะนั้นหายไป ผมเงยหัวขึ้น ไฟในมือลุงใบ้ไม่ได้ให้แสงสว่างเพียงอย่างเดียว แต่มันยะงช่วยเผาผลาญพวกตัวประหลาดหลังค่อมใส่ฮู้ดเสื้อคลุมดำให้หมอดไหม้ แม้ว่าจะโดนกลืนกินด้วยไฟ พวกมันก็ยังคงเงียบ นิ่ง อย่างน่าเกรงขาม เสียงหัวเราะรวนที่หายไปนั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า คืนนี้ผมมีชัยชนะ ผมรู้ในขณะนั้นเองว่าการรับมือและเอาชนะความกลัวต้องทำอย่างไร แน่นอน เจ้าพวกนั้นน่าจะเป็นความกลัว แสงสว่าง!!! แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแสงจากไฟแช็กที่ทำให้มองเห็นซองบะหมี่ไวไวควิกก้นถังขยะก็ตาม
ผมรู้แล้วว่า "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" ในภาษาใบ้ต้องสือสารอย่างไร