กวีขี่เมรุ
เราไม่เขียนกวีแล้วแหละ.. เราไม่มีอะไรจะเขียน เราไม่รู้จะเขียนอะไร
เราเพียงแค่ปล่อยให้หยาดหมึก หยาดหมึกเป็นๆ ดิ้นได้ หยดลงผืนกระดาษว่างเปล่า
เราไม่ได้ตั้งใจนะ โอ้ว..เราขอโทษ
เราไม่เคยเขียนบทกวี ทั้งๆที่เราอยาก.. อยากเหลือเกิน เป็นความปรารถนาและโหยไห้ ที่เต้นริกๆอยู่ตรงหว่างอก เราพยายาม.. เราพยายาม..
ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทำอะไร หลายคนมองว่าเรา.. หลุดพ้นจากแอกของสังคม เรารับรู้ พยักหน้า แต่ไม่.. ไม่แม้แต่จะจับสำเนียงว่า มันคืออะไร
แล้วจะอะไรกันนักกันหนากับชีวิต เท่านี้ก็ดีแล้ว
จะไขว่คว้ากันไปเพื่ออะไร ไขว่คว้าไปก็สะดุดขาตัวเองล้ม เดินเหยียบเท้าคนอื่น หรือ.. เหยียบไหล่คนอื่น เพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น งั้นหรือ??
เงียบ . .
บางทีเราก็อยากอยู่กับมัน แต่บางทีเราก็เกลียดมัน อยากหนีมันไปให้พ้น ให้ไกล.. ไกลเกินจะเพรียกกลับ สู่ห้วงหาวแห่งความเป็นจริง
ลับลงแล้วล่ะ เส้นของแว้งแห่งกาลเวลา จากเราไปแล้วล่ะ เวลาของเราหมดแล้ว
อย่างไรกัน.. เวลาของเราหรือ?? เราเป็นเจ้าของไปแล้ว
อัตตา ?? อยู่แห่งหนใด กลับมาได้ไหม เป็นตัวตนของความว่างเปล่า หรือความว่างเปล่าที่มีตัวตน
. .
เช่นเดิม..
เราไม่เคยคิดจะเขียนบทกวี
เราไม่เคยเป็นกวี
มันจากเราไปแล้วล่ะ
ไอ้ความเป็นกวี
มันหนีหายไปแล้ว
หรือเราจะกลืนมันไปพร้อมกับข้าว
คำสุดท้ายของวัน - -
และเราก็ได้สนองตอบต่อตัณหาของตนเอง ตัณหา..ซึ่งว่างเปล่า ไม่มีแม้ราคะหรือความโหยไห้ อย่างไร..
มิอาจรู้ !!