ฮาโรลด์ พินเทอร์: ศิลปะ สัจจะและการเมือง ปาฐกถารับรางวัลโนเบล 2005

by ภัควดี @2 ม.ค.49 17.22 ( IP : 203...129 ) | Tags : กระดานข่าว
photo  , 400x395 pixel , 26,547 bytes.

ในปี ค.ศ. 1958  ผมเคยเขียนไว้ดังนี้:

"มีเส้นแบ่งเพียงบางเบาระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่ไม่จริง  ระหว่างสัจจะกับความเท็จ  สิ่ง ๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องจริงหรือเท็จ  มันอาจทั้งจริงและเท็จได้พร้อมกัน"

ผมเชื่อว่า  คำยืนยันข้างต้นยังใช้ได้และยังใช้กับการสำรวจความจริงผ่านศิลปะ  ดังนั้น  ในฐานะนักเขียน  ผมยังยืนยันเหมือนเดิม  แต่ในฐานะประชาชน  ผมยืนยันแบบนั้นไม่ได้  ในฐานะประชาชน  ผมต้องถามว่า:  อะไรคือความจริง?  อะไรคือความเท็จ

ความจริงในการละครเป็นสิ่งที่ลื่นไหลตลอดกาล  เราไม่เคยคว้ามันอยู่มือ  แต่การแสวงหาความจริงยังคงเป็นแรงผลักดันที่มิอาจต่อต้าน  การแสวงหานี้เองที่ขับดันให้เกิดการสร้างสรรค์  การแสวงหาคือภารกิจ  หลายครั้งหลายคราที่เราอาจสะดุดเข้ากับความจริงท่ามกลางความมืดมิด  ชนเข้ากับมันจัง ๆ  หรือเพียงแค่แวบเห็นภาพหรือเงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนสอดรับกับความจริง  มีบ่อยครั้งที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าเจอกับความจริงเข้าแล้ว  แต่ความจริงที่แท้จริงก็คือ  ไม่เคยมีความจริงเพียงหนึ่งเดียวให้ค้นพบในศิลปะการละคร  ความจริงมีหลากหลาย  ความจริงที่หลากหลายนี้ท้าทายซึ่งกันและกัน  หวาดกลัวซึ่งกันและกัน  สะท้อนซึ่งกันและกัน  เพิกเฉยต่อกันและกัน  ยั่วเย้ากันและกัน  มืดบอดต่อกันและกัน  บางครั้งเรารู้สึกว่า  มีบางขณะจิตที่เราตะปบความจริงไว้ได้  แต่แล้วความจริงก็ลอดไหลผ่านร่องนิ้วและหนีหายไป

ผมมักถูกตั้งคำถามว่า  บทละครของผมมีที่มาอย่างไร  ผมตอบไม่ได้  ผมไม่เคยนิยามบทละครที่เขียน  นอกจากบอกได้เพียงว่า  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น  นี่คือสิ่งที่ละครพูด  นี่คือสิ่งที่ละครทำ

บทละครส่วนใหญ่อุบัติขึ้นจากประโยคหนึ่ง  ถ้อยคำหนึ่งหรือจินตภาพหนึ่ง  ถ้อยคำนั้นมักตามติดมาด้วยจินตภาพ  ผมจะยกตัวอย่างของประโยคสองประโยคที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในความคิด  ตามติดมาด้วยจินตภาพ  แล้วผมก็ติดตามมันไป

บทละครสองเรื่องนั้นคือ  The Homecoming  และ  Old Times  ประโยคแรกของ  The Homecoming  คือ  "แกเอากรรไกรไปไหน?"  ประโยคแรกของ  Old Times  คือ  "สีดำ"

ในละครทั้งสองเรื่อง  ผมไม่มีข้อมูลอื่นอีกเลย

ในละครเรื่องแรก  ใครบางคนกำลังหากรรไกรและถามหามันกับอีกคนหนึ่งที่เขาระแวงว่าอาจขโมยมันไป  แต่ผมสังหรณ์ใจขึ้นมาว่า  คนที่ถูกถามหากรรไกรนั้น  ไม่แยแสเรื่องกรรไกรหรือแยแสตัวคนถามเลย

"สีดำ"  เป็นคำบรรยายถึงสีผมของใครคนหนึ่ง  ผมของผู้หญิง  และคำพูดนี้เป็นคำตอบต่อคำถาม  ในละครทั้งสองเรื่อง  ผมพบว่าตัวเองถูกดึงดูดให้ติดตามเรื่องต่อไป  ภาพที่ค่อย ๆ คลี่คลายออกมาอย่างแช่มช้า  จากเงาตะคุ่มสู่แสงสว่าง

ผมเริ่มเขียนละครโดยตั้งชื่อตัวละครว่า  ก, ข และ ค เสมอ

ในบทละครที่กลายเป็นเรื่อง  The Homecoming  ผมแลเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องซอมซ่อ  และถามคำถามนี้กับชายหนุ่มที่นั่งอ่านข่าวม้าแข่งบนโซฟาน่าเกลียด  ผมนึกรู้ขึ้นมาว่า  ก เป็นพ่อ  และ ข เป็นลูกชาย  แต่ผมไม่แน่ใจนัก  ทว่าชั่วอึดใจถัดมา  ข้อมูลนี้ก็ได้รับการยืนยัน  เมื่อ ข  (ต่อมาคือ  เลนนี)  พูดกับ ก (ต่อมาคือ แม็กซ์) ว่า  "พ่อ  ขอเปลี่ยนเรื่องพูดหน่อยได้ไหม?  ขอถามพ่อสักอย่าง?  อาหารเย็นที่เรากินเมื่อวาน  มันเรียกว่าอะไร?  พ่อเรียกมันว่าอะไร?  ทำไมพ่อไม่ซื้อหมามาซะเลย?  พ่อทำอาหารเหมือนให้หมากิน  พูดตรง ๆ นะ  พ่อคิดว่ากำลังทำอาหารให้หมาหลายตัวกินหรือไง"  ในเมื่อ ข เรียก ก ว่า  "พ่อ"  มันก็มีเหตุผลที่จะสมมติว่า  ทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน    ก คงเป็นพ่อครัวและฝีมือทำครัวของเขาดูเหมือนไม่ค่อยเข้าท่านัก  นี่หมายความว่าครอบครัวนี้ไม่มีแม่หรือเปล่า?  ผมไม่รู้  แต่ดังที่ผมบอกตัวเองในตอนนั้น  จุดเริ่มต้นของเราไม่เคยรู้จุดจบ

"สีดำ"  หน้าต่างบานใหญ่  ฟ้ายามสนธยา  ผู้ชายคนหนึ่ง  ก (ต่อมาคือ  ดีลี)  และผู้หญิงคนหนึ่ง  ข  (ต่อมาคือ  เคท)  นั่งดื่มเหล้ากันอยู่  "อ้วนหรือผอม?"  ผู้ชายถาม  ทั้งสองคุยถึงใคร?  แต่ทันใดนั้น  ผมก็มองเห็น  ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง  ค  (ต่อมาคือ  แอนนา)  เธอยืนอยู่ท่ามกลางแสงอีกแบบหนึ่ง  หันหลังให้  ผมของเธอสีดำ

มันเป็นชั่วขณะที่แปลกประหลาด  ชั่วขณะของการสร้างตัวละครที่ก่อนหน้านั้นไม่มีตัวตน  สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมีแต่ความไม่แน่นอน  ขึ้น ๆ ลง ๆ  ถึงขั้นเพ้อคลั่ง  แม้ว่าบางครั้งมันก็พรั่งพรูออกมาอย่างถล่มทลายจนหยุดยั้งไม่ได้  สถานะของนักประพันธ์เป็นสิ่งที่แปลกพิกล  ในแง่หนึ่ง  เขาไม่เป็นที่ต้อนรับของตัวละคร  ตัวละครขัดขืนต่อเขา  ไม่ง่ายเลยที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยกัน  ไม่มีทางนิยามได้  นักประพันธ์ไม่มีทางบอกบทให้ตัวละคร  นักประพันธ์ต้องเล่นเกมที่ไม่มีจุดจบกับพวกเขา  แมวจับหนู  ตาบอดคลำช้าง  ซ่อนหา  แต่พอถึงที่สุด  นักประพันธ์ก็พบว่า  เขามีมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้ออยู่ในกำมือ  คนที่มีเจตจำนงและความอ่อนไหวของตัวเอง  กอปรขึ้นมาจากส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้  ควบคุมไม่ได้  บิดเบือนไม่ได้

ภาษาในศิลปะจึงเป็นกิจกรรมที่เคลือบคลุมที่สุด  ประหนึ่งทรายดูด  แทรมโปลีน  สระน้ำแข็ง  ที่อาจอ่อนยวบพังครืนใต้เท้านักประพันธ์ได้ทุกเมื่อ

แต่ดังที่ผมกล่าวข้างต้น  การแสวงหาความจริงไม่มีทางหยุดยั้ง  ไม่มีทางประวิง  ไม่มีทางผัดผ่อน  มันเป็นเรื่องที่ต้องเผชิญหน้าที่นี่และเดี๋ยวนี้

ละครการเมืองเสนอปัญหาที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง  กฎข้อแรกคือต้องหลีกเลี่ยงการเทศนา  ความเป็นกลางคือหัวใจสำคัญ  ต้องปล่อยให้ตัวละครเป็นตัวของตัวเอง  นักประพันธ์ไม่สามารถจำกัดหรือบีบคั้นให้ตัวละครตอบสนองรสนิยม  อารมณ์หรืออคติส่วนตัวของนักประพันธ์เอง  เขาต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าหาตัวละครจากหลายแง่มุม  จากมุมมองที่รอบด้านและไม่จำกัด  บางทีก็ต้องจู่โจมจนตัวละครตั้งตัวไม่ทันเป็นครั้งคราว  แต่ถึงที่สุดแล้ว  ต้องปล่อยให้ตัวละครมีอิสระที่จะดำเนินไปตามหนทางที่ตัวละครเลือก  นี่อาจใช้ไม่ได้ผลทุกคราว  แน่นอน  สำหรับละครเชิงล้อเลียนเสียดสีการเมือง  ย่อมไม่ยึดติดกับหลักการเหล่านี้  อันที่จริงก็ทำตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ  ซึ่งก็เป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของมัน

ในบทละครของผมเรื่อง  The Birthday Party  ผมคิดว่าผมปล่อยให้ทางเลือกจำนวนมากดำเนินไปในป่าทึบของความเป็นไปได้  ก่อนปรับโฟกัสไปเล็งที่การใช้อำนาจกดบังคับในตอนท้าย

Mountain Language  ไม่เสแสร้งว่ามีทางเลือกมากมายอย่างนั้น  มันห้วน  ป่าเถื่อนและน่าเกลียด  แต่ทหารในบทละครยังได้สนุกอยู่บ้าง  บางครั้งเราลืมไปว่า  ผู้ทำการทรมานมักเบื่อง่าย  พวกเขาต้องมีเรื่องหัวเราะนิดหน่อยเพื่อความกระชุ่มกระชวย  ไม่เชื่อก็ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่คุกอาบู  กราอิบในเมืองแบกแดดสิ  ละครเรื่อง Mountain Language    กินเวลาแค่ 20 นาที  แต่จะให้มันยาวยืดเยื้อหลายชั่วโมง  เล่นไปเรื่อย ๆ  เรื่อย ๆ    บทเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า  ก็ทำได้

ส่วน  Ashes to Ashes  เหมือนเกิดขึ้นใต้น้ำ  ผู้หญิงที่กำลังจมน้ำ  มือไขว่คว้าขึ้นไปเบื้องบน  จมหายไปจากสายตา  ตะเกียกตะกายหาใครสักคน  แต่ไม่พบใครเลย  ไม่ว่าเหนือน้ำหรือใต้น้ำ  เจอแต่เงามืด  ภาพสะท้อน  ลอยคว้าง  ผู้หญิงคนนั้นคือร่างที่สูญหายไปในทิวทัศน์ที่กำลังจมลง  ผู้หญิงที่ไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมที่น่าจะเกิดกับคนอื่นเท่านั้น

แต่เมื่อคนอื่นตาย  เธอก็ต้องตายเหมือนกัน

ภาษาการเมืองที่นักการเมืองใช้  ไม่ได้ผจญภัยไปในดินแดนแบบนี้  เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่เท่าที่เราเคยพบเจอ  ไม่สนใจความจริง  แต่สนใจอำนาจและการรักษาอำนาจ  การรักษาอำนาจไว้ย่อมหมายถึงประชาชนต้องโง่เขลา  ประชาชนต้องมีชีวิตท่ามกลางความมืดบอดต่อความจริง  แม้กระทั่งความจริงในชีวิตของตนเองก็ตาม  สิ่งที่แวดล้อมรอบตัวเราจึงมีแต่ความมดเท็จที่ถักทอเป็นม่านผืนใหญ่ลวดลายวิจิตรตระการคอยมอมเมาสายตาเราไว้

ดังที่ทุกผู้ทุกนามที่นี่รับรู้กันดี  ข้ออ้างในการรุกรานอิรักคือ  ซัดดัม  ฮุสเซนมีอาวุธทำลายล้างจำนวนมากที่เป็นภัยมหันต์    อาวุธบางอย่างสามารถยิงออกมาได้ใน 45 นาที  ซึ่งจะยังความพินาศอย่างน่าตระหนกอกสั่น  เราได้รับคำยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริง  แต่มันไม่ใช่ความจริง  เรารับฟังว่าอิรักมีความสัมพันธ์กับอัล  กออิดะห์  และมีส่วนรับผิดชอบการก่อวินาศกรรมในนิวยอร์กเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001  เราได้รับคำยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริง  แต่มันไม่ใช่ความจริง      เรารับฟังว่าอิรักเป็นภัยคุกคามความปลอดภัยของโลก  เราได้รับคำยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริง  แต่มันไม่ใช่ความจริง

ความจริงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง  ความจริงอยู่ที่สหรัฐอเม

Comment #1
Posted @3 ม.ค.49 21.13 ip : 203...85
Photo :  , 400x320 pixel 12,029 bytes

555555  สวัสดีปีใหม่ครับพี่ภัคและครอบครัว    คิดจะเอารูปคุณพินเทอร์มาเทียบกับผมนั้น  กรุณาดูรูปหล่อๆของผมซะก่อน 


"สหรัฐอเมริกาสนับสนุน-และในหลายกรณีก็ให้กำเนิดโดยตรง-แก่ระบอบเผด็จการทหารปีกขวาทุกประเทศในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผมหมายถึงอินโดนีเซีย, กรีซ, อุรุกวัย, บราซิล, ปารากวัย, เฮติ, ตุรกี, ฟิลิปปินส์, กัวเตมาลา, เอลซัลวาดอร์ และแน่นอน ชิลี ภัยสยองที่สหรัฐอเมริกาอัดฉีดใส่ชิลีในปี ค.ศ. 1973 ไม่มีวันชำระล้างและไม่มีทางให้อภัยได้"

อันี้พินเทอร์คงลืมภาคใต้ของประเทศไทยไปแหงๆ  อิอิ 


นิคารากัวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดจริงๆครับ  ผมมีหนังสือรวมบทกวีจากสงคราม "เที่ยงคืนสิบสามวินาทีก่อนอรุณจะรุ่ง"  เป็นบทกวีของประชาชนนิคารากัวแปลโดย  "วันวารี"  มีตัวอย่างดังนี้--

"เราไม่ใช่กองทหาร

แต่เราคือประชาชนที่ติดอาวุธ" -ออกัสโต  เซซาร์  แซนติโน ผู้นำทัพชาวนา 1927-


"ด้วยคิดถึงเธอ"

ฉันกำลังคิดถึงเธอ  เมอร์ซีเดส

คิดถึงผมยาว  ดวงตาสีดำ

ใบหน้าอันกลมกลึงและริมฝีปากแห้งผาก

ฉันคิดว่า    วันหนึ่งฉันจะจุมพิตเธอ

เหมือนกับครั้งก่อน

ฉันกำลังจะบอกเธอว่าอย่าจากฉันไปไกลอีกเลย

เพราะฉันยังคงรักเธอ

แต่เธอก็คงจะจากไปอย่างเงียบเงียบ

ด้วยเธอคิดว่า  เหมือนกับครั้งก่อนๆ

เธอคิดว่าฉันยังเป็นเด็ก

แต่ไม่แล้ว.....

ฉันกำลังคิดอย่างที่ผู้ชายหนุ่มๆเขาคิดกัย..


--อาฟี  เมเล็ค  อัลวาราโด  อายุ  11 ปี--


"เพียงความแตกต่าง"

เธอเล่าให้ฉันฟังว่าพวกนั้นฆ่าแอนโตนิโอ  พี่ชายของเธออย่างไร

และดวงตาของเธอก็หล่อรื้นน้ำตา

-พวกทหารรักษาความปลอดภัยแห่งชาติซึ่งอยู่ในฮอนดูรัว-เธอเล่า-

มันจับเขาไป

เฆี่ยนตีจนเบื่อหน่าย

แล้ววันหนึ่งในพวกมันก็พูดว่า

อาจจะดีกว่า    ถ้าเหยียบเขาด้วยรองเท้าติดสะเปอร์

ประหนึ่งว่าเขาเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง

เมื่อแม่ของเธอมาถึง

รับเขาออกจากโรงพยาบาลในเตกูซิกัลปา

แม่จ้องมองร่างอันถลอกปอกเปิก

และสัญญลักษณ์บนหน้าอกที่ว่า

"คอมมิวนิสต์-แซนติโน"

-โรซาริโอ  การ์เซีย


ในเล่มล้วนเป็นบทกวีจากนักรบนิรนามในนิคารากัว  และมีประวัติศาสตร์นิคารากัวอยู่พอสังเขป  และนิคารากัวยังปรากฏอยู่ใน " 100ปีแห่งความโดดเดี่ยว"  อันลั่นเลื่อนของ มาเกส..


ปาโบล  เนรูดา  กวีนามอุโฆษ  หนังนอกกระแสเรื่อง The  Postman.  ทำให้คนไทยบางกลุ่มได้รู้จักเขา  แต่น่าเสียดายที่งานเขียนของเขาหาอ่านได้ยากยิ่งนัก  โดยเฉพาะบทที่ยกมานี้จับใจเหลือเกิน    น่าเสียดายที่ผมไม่เคยเห็นงานชิ้นนี้ของเนรูด้ามาก่อนเลย  น่าเสียจริงๆ

Comment #2
Posted @4 ม.ค.49 0.03 ip : 203...11

บางภาวะ..

สงครามก็ก่อให้เกิดสามัคคี


ก่อเกิดกวี..

จากความแล้งผากแห่งเมตตาธรรม

Comment #3
Posted @5 ม.ค.49 9.11 ip : 202...201













"นักเขียนควรดำรงตนอยู่บนหอคอยงาช้าง  วางตัวเป็นผู้เปี่ยมรสนิยมและวรรณศิลป์  เขียนถึง  "ความฝันและใบไม้  และภูเขาไฟใหญ่ยิ่งในถิ่นแดนเกิด"  หรือจะลงมาเดินคลุกฝุ่นตัวมอมอยู่กับสามัญชน"


เป็นเรื่อง.....ที่น่าคิดครับ

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 52 user(s)

User count is 2421287 person(s) and 10106701 hit(s) since 8 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).