ดาวทราย
คิดถึง
ลมวูบหนึ่งหอบหนาวมากราวผิว
แผ่วเสียงเพียงมีดดังหวีดวิ้ว
หวิวหวีดมากรีดริ้วบาดผิวบาง
ดาวกำลังทอแสงตกแต่งฟ้า
ลุ่มน้ำตาบ่าสาย-ฝายใดขวาง?
หนาวเหน็บกรงเล็บลม-ทนข่มคราง
ลมผ่านไม้ใบคว้างร่วงรางน้ำ
ทรายดวงใดเธอโปรยไปโรยฟ้า
ต่างไต้ตาฟากพื้นแห่งคืนค่ำ
กอบใดของกองทรายละฟายกำ
ที่กอบกรองกองคำ-ลำนำดาว
หรือนี่คือบทกวีที่เธอหว่าน
เหนือเรือนชานไม้ดอก-หมอกหนาว
ละเม็ดพรายประกายวับ ระยับวาว
ละดวงพราวสกาวเก็จ-ละเม็ดคำ
ว่า-รักจะแปรเปลี้ยนทรายให้เป็นดาว
สูงค่าเกินการก้าวแห่งเท้าย่ำ
หากเศษทรายพรายดวงจะร่วงพรำ
ให้ร่วงลำทางแสงตกแต่งพื้น
ลมหนาวกราวผิวแล้วพริ้วผ่าน
โดยจดจารการผิวด้วยริ้วขื่น
จากเศษทรายที่ลมหอบมามอบคืน
ซึ่งร่วงครืนตื้นถม ณ หล่มรัก
รักจะแปรเปลี่ยนทรายละฟายกอบ
โดยลมหอบกอบทรายทุกฟายตัก
เป็นดวงดาว หรือหลาวแหลม หรือแหลนชนัก
อันร่วงปักจากฟ้ามาสู่ใจ
นี่หรือคือบทกวีที่เธอหว่าน
ให้เพียรอ่านในคืนแสนขื่นไข้
ดาวดวงที่หรี่ดวงความห่วงใย
หล่นร่วงดังดวงไฟตะไลโรย
เหลือเพียงความว่างเปล่าในหนาวเหน็บ
ลมหนาวกรีดกรงเล็บเพียงจิกโผย
ก็ฝากแผลคายคมแห่งลมโบย
แล้วแผ่วโชยเลยผ่านไปลานฟ้า
พัดผ่านไปลานใจเธอไหมหนอ
เสียงตัดพ้อไปเยือน-หรือเบือนหน้า?
หยดหนึ่งน้ำค้างร่วงจากดวงตา
เถิดรู้ว่าค่าพรายกว่าทรายแพรว.....
กุลสตรี ปักษ์แรก ฉบับที่ ๕๗๒ พฤษจิกายน ๒๕๓๗