ขบวนรถไฟสายหนึ่ง
๑).
โดยหมายว่า-ขบวนรถไฟสายความฝัน
วิ่งทะยานปานคันธนูแผลง
ในช่วงที่แดดดวงเริ่มร่วงแรง
บทเพลงแห่งการเดินทางบนรางยาว
แน่ที่สุด-เสียงโหยหวูดย่อมพูดว่า
วันจะผลิ-นาฬิกาต้องกล้าก้าว
ฟังอีกครั้ง-ระยะทางหว่างดินดาว
หวูดต้องกร้าวเสียงอึงจึงถึงฟ้า
และโดยขบวนรถไฟสายความฝัน
เมื่อโง้งคันธนูง้างมุ่งข้างหน้า
ชานชาลาสุดท้ายอาจปลายฟ้า
หรืออาจเป็นป่าช้า-มิกล้าคิด!
๒).
บนรางที่ร้างรกด้วยดกไหน่
ขบวนรถไฟมิไหวติงนิ่งสนิท
ระลอกลมระดมมาสารทิศ
มาหยอกล้อที่จอดชิดชานชาลา
เคยล้อรถบดรางระหว่างวัย
แต่งดอกไฟ ไหวดอกพลุ ปะทุหล้า
ราวจะรัวกระสุนดอกไปคลอกฟ้า
และราวว่าอึงหวูดกระฉูดดิน
กลับมาเงียบเยียบเย็น-หญ้าเร้นราง
ยิ่งเหยียดยอดตลอดทางอันร้างสิ้น
ลมหวิวพลิ้วแผ่วเพียงแว่วยิน
ลมนั้นรินหินก้อนหว่างหมอนไม้
บนเนินคันคั่นทางมีร่างเรือน
ที่ดูเหมือนเรือนร่างยิ่งรางไล่
หยดน้ำปริ่ม สนิมผด เนื้อรถไฟ
ลมระวัยไหววันแล้วผันกาล
ในช่วงที่แดดดวงเริ่มร่วงแรง
บทเพลงแห่งการพรากไกลจากบ้าน
ยิ่งโหมรัวยั่วจินต์เร้าวิญญาณ
เร่งระฆังกังวานไปชานฟ้า
นั่นแท้-ขบวนรถไฟสายความฝัน
เมื่อโง้งคันธนูง้างสู่ข้างหน้า
สายเอ็นเหนียวที่เหนี่ยวแรงจะแผลงพา
ข้ามฤดูสู่ชานชาลาอีกสถานี
๓).
ฟ้ากำลังแดงม่วง-ดวงแดดโรย
ระโหยโหยโผยลมยิ่งพรมรี่
หวูดกำลังก้องฟ้า-วินาที
แหละล้อที่เงียบงำเริ่มคำราม
นี่จะเป็นขบวนรถไฟสายความหวัง
เพลงระฆังกังวานทะยานข้าม
เมื่อง้างคันธนูโง้ง-สายโก่งตาม
ศรย่อมฝ่าสง่างามไปตามทาง
และหมายว่าขบวนรถไฟสายนี้
ชานชาลาสถานีต้องมีบ้าง
แม้ทางทอดจอดตายอยู่รายทาง
ดีกว่าเลือนเรือนร่างอยู่อย่างนี้!
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ๑๓-๑๙ เมษายน ๒๕๔๐