ภูหมอก
๑).
เราเห็น-ภูหมอกนั้นขาวโพลน
ลมโยนปุยเหงาอยู่เบาแผ่ว
ข่าวภู-ฤดูหนาว ใกล้เข้าแล้ว
เหนือแนวเทือกทอดตลอดภู
ฟ้าปิด-ละอองหมอกแตกดอกบาน
ฟ้าหลัวมัวน่านฟ้านานอยู่
แหละตะวันโรยแรงร่วงแสงพรู
โรยปูแสงว้างเวิ้งทางเท้า
นวลแสงกลางหมอกหม่น-สนธยา
คือสีแดงแสงตาแห่งพระเจ้า
ลมโศก-โศลกขรึมเสียงทึมเทา
ลมจูบเธอเบาเบา---เถอะเข้าใจ
๒).
เดินไปสู่ภูสูง-เราจูงมือ
ส่งสื่อมือนั้นเธอสั่นไหว
กลัวขลาดหวาดเงา--หรือเขลาใด
อันซ่อนในพืดหมอกที่พอกคลุม
แรงไหวไรผมเพียงลมแผ่ว
หนาวแผ้วแล้วผ่านไปลานลุ่ม
มือเธอกระชับแน่น-คว้าแขนกุม
ลมกลุ้มรุมหนาวจนร้าวเนื้อ
ปลอบเธอ-เถอะเราเดินด้วยกัน
การไปสู่ภูชันต้องมั่นเชื่อ
แรงเกรียวเรี่ยวกรูอย่ารู้เรื้อ
จะใจเอื้อเอ็นดูมิรู้รา
ปล่อยไปตามใจเท้าที่ก้าวเถิด
ไม้เพยิดพยัก--หมอกกวักหา
อย่าไยดีการเร่ของเวลา
อย่างไรฟ้าวันคืนก็ผืนเดียว
ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้จัก
หากที่รัก-กลิ่นห้อมช่างหอมเชี่ยว
ใบใดร่วงคว้างทอดทางเทียว
กรอบเรืองเหลืองเปลี่ยวทุกเรียวใบ
ชื่อใดดอกไม้ภู-มิรู้ชื่อ
ทิศใดอื้อลมพรู-มิรู้ได้
แปลกตาแปลกงามแปลกนามนัย
แปลกไหม?-มีอยู่ในภูชัน
เราเห็น-ภูหมอกนั้นขาวโพลน
ลมโยนปุยขาวอยู่พราวสัน
แปลกหรือชื่อนาม-หรือสำคัญ?
หากนั่นงามพอ-ก็พอแล้ว!
๓).
ลมสายโศกขรึมเสียงทึมเทา
ล่องลอยสร้อยเศร้ามาเบาแผ่ว
จากยอดภูสูงชันจากสันแนว
ไล่เรี่ยตามแถวของแนวทาง
มาทางช่องร่องห่างระหว่างช่อง
พรูพลิ้วผิวล่องตามช่องว่าง
เรี่ยดินลาดต่ำ--ระลำราง
ลมพร่างระหว่างพลิ้วละริ้วลม
ลมริ้วปลิวไม้ดอกไหวร่วง
ฝากดวงหอมให้ตรงไรผม
เธอสบตา-ยิ้มให้ดวงใสกลม
ฉันข่มความยินดีวิญญาณ
เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้สวย
หอมด้วยผวยจีบแห่งกลีบหวาน
สดสีเปล่งปลั่งอลังการ
เบ่งบานสานสีสันชีวิต
สานเธอเข้ากับสรรพสิ่ง
ให้นิ่งกลมกลืนแนบสนิท
ละอองหมอกดอกหนาวพราวทิศ
เพียงใดใกล้ชิด?-แม้ปิดตา
เรากำลังเดินสู่สันภูหมอก
ดอกไม้สวยสักดอกก็บอกค่า
ว่าล้นแล้วดอกผลที่ด้นมา
สู่ความงามแปลกหน้าแปลกตาตน
เธอจึงรู้-ฤดูหนาว ดอกไม้หอม
ซ่อนในอ้อมลึกลับ--ในสับสน
ที่ที่เธอเขลาหวาดและขลาดจน
ถามเหตุผลแห่งงาม--แห่งนามนัย
๔).
อย่าถามอันใดอีกเลย -- ที่รัก
จะหนาวหนักเนื้อปริ-ตอบมิได้
รู้เพียงว่าทางท่องนั้นต้องไป
รู้เพียงใจเราร้องขอท่องทาง
รู้เพียงนำเสนอให้เธอรู้
กลางสันภูยังมีซึ่งที่ว่าง
ในสายหมอกดอกฉ่ำของน้ำค้าง
ให้เราวางเท้าทอดตลอดภู
อย่ากังวลอันใดเลย--ที่รัก
จะรู้จักหรือไม่-ลมสายอู้
ดอกไม้ใดบานผลิแล้วมิรู้
แหละฤดูเหน็บหนาวนั้นเท่าใด
ปล่อยไปตามใจเท้าเราก้าวเดิน
ชมเพริดเพลิดเพลินทางเดินใหม่
ลมจูบเธอเบาเบา--เถอะเข้าใจ
นั้นผมไรสลวยพรายสยายพราว
อย่าถามถึงความงามแห่งนามนัย
อันซ่อนในพืดหมอก--ในดอกหนาว
ลมเสียงโศกโกรกไม้จนไหวกราว
โพลนขาวข่าวภู-ฤดูลม
ละลิ่วลิบพริบตาก็ลาผ่าน
มาเพียงฝานแรงไหว กรีดไรผม
ผ่านไปกอบกรอบใบที่ไหม้อม
ลิบลิ่วปลิวกลมกลืนลมลับ
ไปเถิด-เกี่ยวก้อยต้อยตามกัน
ดวงตะวันลดไต่ไล่ระดับ
ภูโลมลมเพลงมาวับวับ
ดวงตาพระเจ้าใกล้ดับใกล้หลับตา
ปล่อยไปตามใจเท้าที่ก้าวเถิด
ฟ้าปิด-แต่ภูเปิดให้ค้นหา
อย่าไยดีโพล้เพล้ของเวลา
ไม้ดอก หมอกหนา-หรือว่าใด
แปลกหรือมิเข้าใจอันใดเลย
ทั้งมิเคยคาดคิดจะชิดใกล้
มิกระทั่งรู้จักมาจากใคร
แปลกไหม? หากงามพอ-ก็พอแล้ว
๕).
จนดวงตาพระเจ้าหลับสนิท
มืดมิดก็พราวด้วยดาวแก้ว
พร่างอยู่เหนือภูชันเหนือสันแนว
หนึ่งพรึกแพรวก็ปลั่งกว่าทั้งปวง
กอดเถิดเด็กน้อย--เถิดเด็กดี
ราตรีพรายดาวนี้หนักหน่วง
อย่าตกใจพรึกหนึ่งจะตึงดวง
ฉายช่วงแสงสีมาคลี่ทาง
.
..
อย่าตกใจพรึกพรายจะฉายดวง
ผ่านล่วงสันภู-มาสู่เรา
ไรเตอร์แมกกาซีน