จำนน
๑).
ฝนยังคงปรายโปรยสายเบา
เมฆหม่นทึมเทาจวบเช้าตรู่
เย็นและเยือกจัดลมพัดพรู
ใบไม้ลู่กิ่งโน้มตามลมแรง
บานเกล็ดจับฝ้าละอองหมอก
รอยดอกฝนชะ-- ประแต่ง
โคมไฟริบหรี่สีแดง
โต๊ะแป้ง ชั้นหนังสือ กระจกเงา
กอดฉันหลับสนิท-- กายชิดกาย
ห่มดอกลายผ้าผวยยิ่งสวยเศร้า
ฝนยังคงปรายโปรยสายเบา
พรำเช้า--พรำห้องเราสองคน
๒).
ฟังสิ--ฝนสาดที่ซัดเม็ด
กี่ล้านดวงเก็จหนอเม็ดฝน
เคาะหลังคาเพรียกชื่ออยู่อื้ออล
แต่ต้นฝนพรูล่วงตรู่เช้า
มิได้หลับเต็มตาสักคราตื่น
ฟังฟ้าคลั่งครืนเพื่อตื่นเฝ้า
ลมหายใจอ่อนล้า-- ราเบา
เม็ดเงาแห่งน้ำยังก่ำตา
พิษไข้จึงเธอละเมอไข้
หนาวนอกร้อนใน--ผ่าวใบหน้า
ยิ่งเสียงดังติ๊กติ๊ก--นาฬิกา
ยิ่งฟ้าครืนลั่นอยู่ครั่นครื้น
เบียดเนื้อแฝงตัว--กลัวตาย
ขวัญหาย ฝันร้าย สะอื้น
แขนซ้ายฉันเปียกหมาดด้วยหยาดชื้น
ตกตื่นแนบชิดสนิทเนื้อ
ณ คืนวันฟ้าคลุ้มคลั่งอุ้มฝน
เราต่างคนเจ็บป่วยเกินช่วยเหลือ
นอนซมไข้คราง--รังเรื้อ
เสียงเครือหวาดกลัว--รัวดัง
๓).
ใช่แล้ว-เราเหนื่อยกันเกินไป
มิรู้แม้สิ่งใดที่ไล่หลัง
แสงปลาบแปลบแลบมาละคราครั้ง
สะดุ้งหวาดขลาดคลั่งทุกครั้งครา
วิ่งหนีสุดชีวิตมิคิดยั้ง
กลัวฟ้าพังผ่าลงที่ตรงหน้า
หวีดวิ่งกันติดติด-อนิจจา
นำพาชีวิตไร้ทิศทาง
ใช่-เราเหนื่อยกันเหลือเกิน
แหละยับเยินหน้าหลังไปทั้งร่าง
เสียงกระดูกลั่นเดาะ-เปราะบาง
ตีนย่ำขวากขวางพร่างพร้อย
นั่นสิ-ชีพจรเราอ่อนล้า
ดวงตาล้าโหยโรยละห้อย
นาฬิกากระดิกเคลื่อนเข็มเลื่อนรอย
ยิ่งน้อยรอยขีดพรายน้ำ
คิดถึงความตายทันที
ใจหายคล้ายผีเพรียกพร่ำ
เสียงลมหวีด เสียงฟ้าก่น เสียงฝนพรำ
และเสียงจ้ำเท้ารุดมิสุดทาง
ใช่แล้ว-เราเหนื่อยกันเหลือเกิน
แหละยับเยินหน้าหลังไปทั้งร่าง
เข็มนาฬิกาเคลื่อนนั้นเลือนราง
เราครางเราร่ำเราคร่ำครวญ
๔).
ดูสิ-บานเกล็ดที่จับฝ้า
สะท้อนตาดวงฝันว่าปั่นป่วน
หมอกเมฆอึมครึมครึ้มขบวน
เจียนจวนจะหลั่งจะถั่งรด
นอนนิ่งราวซากราวกากชาน
สิ้นหวานสิ้นงามสิ้นความสด
รสสัมผัสใดใดใช่รู้รส
สิ้นหมดประสาทการรับรู้
แต่ตายังคงค้างอยู่อย่างนั้น
ความฝันสิ้นไร้จะให้สู่
เบื้องนอก-ฝนกราดยังสาดกรู
ข่มขู่เพดานหลังคา
แขนซ้ายสอดตรงระหงคอ
รองรอหยาดแต้มแก้มขวา
ฝันร้าย ขวัญหาย-ขวัญมา
ดวงตาดาดวงร่วงพราย
พัดลมเพดานหยุดนิ่ง
ชั้นหิ้งหนังสือระกะระก่าย
หยากไย่ใยระโยงระยางราย
เลวร้ายสิ้นดี-ชีวิต!
๕).
หลังเสียงเครือสะอื้นสงบลง
ฉันเฝ้าเก็บเศษผงมาต่อติด
เป็นเธอ--ทีละน้อย ทีละนิด
วนเวียนจุมพิตความซีดช้ำ
เหมือนศพซบทับซากยับแหลก
เราแบกชีวิตจนพลิกคว่ำ
ป่วยไข้บาดเจ็บ--เก็บงำ
ดิ่งดำพรายน้ำนาฬิกา
ตื่นตา--ทว่ามิรับรู้
เพ่งดูฝนตก--กระจกฝ้า
เห็นเพียงเรียวปากเม้มอยู่เต็มตา
คู่คิ้วขมวดหาทั้งขวาซ้าย
เสียงฝนเคาะเพรียกให้เปิดประตู
เพรียกสู่ฝนฝาดที่สาดสาย
ฝนชะบานเกล็ดจนแตกลาย
เห็นเค้าความตาย--อีกครั้ง!
๖).
ใช่แล้ว-เราเหนื่อยกันเกินไป
มิรู้แม้สิ่งใดที่ไล่หลัง
ใช่แล้ว-เราแหลกยับเราพับพัง
และกำลังรวยรินใกล้สิ้นใจ
นั่นสิ-ชีพจรเราอ่อนล้า
หลับตายังสะอื้นยังขื่นไข้
นั่นสิ-ทำไม ? ทำไม?
นิทรายังห่มไห้อยู่ไม่เว้น
เสียงฟ้าฟาดเปรี้ยงปังเหนือหลังคา
เราผวาสะทก-อกเต้น
ตะลีตะลานเสียงเพรียกอันเยียบเย็น
และเสียงเข่นของนาฬิกานั้น!
.................................... ......................................
พรวดพราดเร่งรีบ-บีบเค้น
เพื่อกลับมาป่วยเป็นอยู่เช่นนี้!
..................................
..................................
อีกไม่นาน-หัวใจและไมเกรน
ไม่ก็เป็นจิตหลอนเราก่อนตาย!
..................................
..................................
ความตายก็กึ่งก้ำกับความเป็น
เรากลับสะดุ้งเผ่นสู่ความตาย!