ผู้ยืนอยู่ใต้ร่มพิกุล
๑).
แผ่วมาจากทิศที่มิมีทิศ
เงียบสนิทการเคลื่อนการเลื่อนไหล
สูงลิ่วสุดแดนและแสนไกล
มาเพื่อการผ่านไปอย่างไร้รอย
ทอดเพียงเงาลงหล้าขณะหนึ่ง
แดดซึ่งแสดสดก็ถดถอย
ขณะกลุ่มฟูฟ่องนั้นล่องลอย
ลมวอยวอยก็พัดจนกระจัดกระจาย
รายฟ้าเป็นกระจุก-กระจุกกระจุก
บรรทุกอัดแน่นใยแสนสาย
เกลื่อนนวลลิบลิ่วพลิ้วพราย
เหมือนฝ้ายใยแสนแฟ้นม้วน
แล้วรอการผ่านมาอีกคราครู่
สักเสียงอู้ระงมแห่งลมหวน
ให้รายฟ้าลุ่ยลุ่ยด้วยปุยนวล
เป็นขบวนระลอกมวลดอกไม้
๒).
เด็กน้อย-ผืนดินที่เธอเหยียบ
คือทุ่งหญ้ากรอบเกรียบที่เกรียมไหม้
พิกุลร่วงดวงล้าลงคราใด
ก็ยิ่งเหลืองเรืองไรเกินใดปาน
ก่อนจะแปรเปลี่ยนดวงที่ร่วงโรย
เป็นผงขุยผุยโผยลมโชยผ่าน
เหลืองที่เรืองจะคล้ำเป็นน้ำตาล
ฤดูกาลต่อฤดูกาลนับนานไป
เธอเดินดูการฟ้อนของก้อนเมฆ
นับเลขจำนวนฟ่อนจากก้อนใกล้
ยิ่งนับยิ่งย่างยิ่งห่างไกล
แดดใสฟ้าสดยิ่งงดงาม
ประกายความเจิดจ้าคู่ตาสวย
ความฝันร่ำรวยอยู่ล้นหลาม
เมฆขาวฟ้าโปร่งชั่วโมงยาม
ทอดนามลงเรียบให้เหยียบยืน
ลมพัดโจมมาจากฟ้าโพ้น
หอบโยนฝุ่นฝอยให้ลอยตื่น
มวนมุ่นตลบจนกลบกลืน
ภาคพื้นแหละต้นพิกุลทอง
กลบเธอลับหายจากสายตา
ฝุ่นฝ้าเขม่าช่างเศร้าหมอง
เสียงแห่งความว่างเปล่าก็เข้าครอง
ร่ำร้องระงมในร่มเงา
ฉันก้มเก็บสีตุ่นพิกุลกรอบ
ร่องรอยความช้ำบอบความกรอบเก่า
การปลิดร่วงลงคว้างอย่างเบาเบา
พลันเฉียบเงียบเหงาและเปล่าดาย
ใต้เท้าฉันคือโลกใบเก่าแก่
ระนาบราบแบแผ่ผาย
รองรับการย่ำการทำลาย
จากสรรพทั้งหลายตลอดมา
ใต้เท้าฉันคือโลกใบโศกเศร้า
วันเวลาเก่าเก่ามาไร้ค่า
ฝุ่นจาง-เธอก็หายลับสายตา
ฉันชะแง้แลหา-พยายาม
๓).
เงียบเหงาซากซ้ำและจำเจ
วันเวลากาลที่ผ่านข้าม
ฟ้าครามมืดแล้วคลี่เป็นสีคราม
ไร้รูปไร้นามไร้เงา
ทุกสิ่งเห็นล้วนจริงเพราะตาเห็น
นี่เป็นชีวิตที่แสนเศร้า
การสูญเสียดวงนัยน์แห่งวัยเยาว์
นี่คือความสูญเปล่ายากเข้าใจ
คือความทุกข์อันแสนทรมาน
ดักดานอับเฉาใต้เงาใหญ่
พิกุลครอบงำหมดบังบดไว้
เมฆเคลื่อนมาใกล้ก็ไม่รู้
ฉันชะแง้แลหาดวงตาเธอ
พร่ำเพ้อร้องเรียกเพรียกกู่
เมฆลิบนวลผ่องเป็นฟองฟู
เคลื่อนอยู่เหนือยอดพิกุลทอง
ฉันก้มมองหาเงาของตนเอง
สั่นเกร็งเมื่อเงาไร้รอยร่อง
ดอกพิกุลเรื่อเหลืองซึ่งเรืองรอง
อาจรอล่องร่วงกลบฝังศพคน!!