บทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @28 พ.ย.46 16.35 ( IP : ) | Tags : บทสัมภาษณ์

กวีหมี่เป็ด "มนตรี  ศรียงค์"


กานต์กับแก้ว

                    หลายคนที่ใช้ชีวิตแบบโลดโผน  กินเหล้าเมายา  ตีรันฟันแทง  มักจะสูญหายไปในดงนักเลงหรือคุกตะราง  หรือจบชีวิตลงอย่างเปลืองเปล่า  แต่ "มนตรี  ศรียงค์" ไม่เป็นอย่างนั้น  ช่วงหนึ่งเขาก้าวเดินไปบนทางเสี่ยงดังกล่าว  แต่แล้ว "หนังสือเล่มเดียว" ก็ชักนำเขากลับมาสู่หนทางที่ดีงาม  ประกอบกับมี "ธาตุกวี" อยู่ในตัว  จึงหล่อหลอมตัวเองเป็น "คนทำบะหมี่ คนขายบะหมี่ กวี และนักแต่งเพลง" ที่มีความขยัน อดทน และรับผิดชอบชนิดน่าเอาเป็นแบบอย่าง                     มนตรี  ศรียงค์  มีแม่เป็นชาว อ.หัวไทร  จ.นครศรีธรรมราช  เตี่ยเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งมาฝังรากตัวเองอยู่ใน  อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา  เขาจึงเป็นลูกครึ่งไทย-จีน  และมีชื่อเป็นภาษาจีนว่า "เฉินเสี่ยวย้ง" แปลว่าไอ้เสือน้อย ( ข้อมูลจากรวมกวีนิพนธ์ "ดอกฝัน ฤดูฝนที่แสนธรรมดา"  ของมนตรี  ศรียงค์  แพรวสำนักพิมพ์  พ.ศ. ๒๕๔๑ )  ปัจจุบันพำนักอยู่ที่ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์  ถนนละม้ายสงเคราะห์  อ.หาดใหญ่  ซึ่งเป็นร้านบะหมี่ที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของ อ.หาดใหญ่                     ๖  มีนาคม  ๒๕๑๑  เป็นวันเกิด  ชั้น ป.เตรียม ถึง ป.๒ เรียนที่โรงเรียนกิตติวิทย์  อ.หาดใหญ่  ที่นี่เองทุกวันก่อนกินข้าวเที่ยงเขาและเด็กนักเรียนทุกคนจะต้องนั่งพนมมือและท่องบทกวีเพื่อระลึกคุณของชาวนา  "ข้าวเอ๋ยข้าวสุก  เราต้องกินทุกบ้านทุกฐานถิ่น  กว่าจะได้ข้าวมาให้เรากิน  ชาวนาสิ้นกำลังเกือบทั้งปี..."                     จากนั้นไปเรียนต่อที่โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์จนจบชั้น ม.ต้น  เขารู้จักวิชาวรรณคดีในห้องเรียนและท่องบทอาขยานหลังเลิกเรียน  รู้สึกประทับใจในความไพเราะของบทร้อยกรอง  จึงขวนขวายหามาอ่านเพิ่มเติม  หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนใส่สมุดเก็บไว้เป็นเล่ม                     "เริ่มเขียนตอน ม.๒  แต่ว่าแอบเขียน  ต้องแอบเพราะว่าอายเขา  ที่อายเพราะมีความเข้าใจว่าบทกลอนบทกวีเป็นเรื่องของผู้หญิง  ผู้ชายมันต้องเตะบอล ตีรันฟันแทง  ซึ่งเราไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่"                     จบ ม.ต้นไปเรียน ม.ปลายที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ  ในตัวเมืองสงขลา  จากเด็กขี้อายและขี้แยกลายเป็นหนึ่งในสมาชิก "แก๊งค์สี่คน" อันลือลั่น  เขาเรียนโปรแกรมพละศึกษา  อยู่กลางสนามจนตัวเขียว  และเป็นนักบู๊ที่มีเรื่องราวกระทบกระทั่งกับฝ่ายตรงข้ามอยู่บ่อยๆ  จนกระทั่งถูก "นักเลงนอกโรงเรียน" ใช้ปืนสามกระบอก  มีดสปาร์ต้าหนึ่งเล่มจี้หัวกลางสนามฟุตบอล  แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด                     แม้จะสนุกไปทางการก่อ "สงครามย่อย"  แต่มนตรียังเขียนบทกวีไม่เคยว่างเว้น  แถมยังเป็น "กลอนรัก" อีกต่างหาก  เพราะต้องการจีบผู้หญิง  แต่ไม่เคยสำเร็จ                     รับใบ รบ. จากโรงเรียนมหาวชิราวุธแล้วก็ขึ้นกรุงเทพฯ  เรียนคณะมนุษยศาสตร์  เอกภาษาไทย  ที่ ม.รามคำแหง  โดยชั้นปีที่ ๑ ต้องไปเรียนที่ ม.รามคำแหง ๒  ช่วงนี้เขาใช้ชีวิตโลดโผนกว่าเดิม  และถูกกลุ่มอันธพาล ๔๐๕๐ คนรุมทำร้ายหน้ามหาวิทยาลัยจนต้องนอนรักษาตัวถึงสองเดือนเต็ม  ก่อนจะกลับบ้านไปพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง                     หายดีแล้วกลับขึ้นกรุงเทพฯอีกครั้ง  ย้ายไปเรียน ม.รามคำแหง ๑  เขาไม่เข็ดหลาบจากผลพวงของการใช้ชีวิตแบบ "คนชนคน"  เพราะกิจกรรมหลักช่วงนี้คือดื่มสุราและ "มีเรื่อง" เหมือนเดิม                     "ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร  มีอยู่สองสิ่งที่ผมไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยคือการพนันกับยาเสพติด  และคิดว่านี่แหละที่ทำให้ผมเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้"                     เพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ประดิษฐ์  เรืองดิษฐ์" ทำกิจกรรมอยู่ในกลุ่ม "รามภูเขา"  เป็นผู้ที่ดึงไอ้เสือน้อยออกมาสู่โลกแห่งการสร้างสรรค์                     "ค่ายรามภูเขามีตู้หนังสือให้ยืมอ่าน  ประดิษฐ์เขาก็ให้นวนิยายเรื่อง "ปีศาจ" มา  "มึงไร้สาระมามากแล้ว  เอาไปอ่านซะ"  เขาว่า  ผมก็เอามาอ่าน  โอ เหมือนโดนชก  เป็นหนังสือแนวอุดมคติที่มันใช่ตามที่เรารู้สึก  คือมันเป็นสิ่งใหม่  เป็นสิ่งที่มีพลังล้นเหลือ  ก็เลยตามอ่านงานของเสนีย์  เสาวพงศ์มาโดยตลอด  "ความรักของวัลยา" อะไรพวกนี้  ก็อ่านมาเรื่อย"                     หลังจากนั้นก็เข้าร้านหนังสือหาวรรณกรรมมาอ่าน    เขาชอบ "นาฏกรรมบนลานกว้าง" ของคมทวน  คันธนู  และหลงใหลงานหลายเล่มของสุจิตต์  วงษ์เทศ  กับขรรค์ชัย  บุนปาน  จนยึดถือเป็นต้นแบบทางภาษาในเวลาต่อมา  นอกจากนี้ก็ยังนิยมชมชื่นลีลาการเขียนของไม้  เมืองเดิม  และถือเป็นครูภาษาอีกคนหนึ่ง                     กิจกรรมบู๊ไม่ลดลง  แต่เริ่มเขียนบทกวีมากขึ้น  และแตกแขนงไปจากบทกวีรัก                     อย่างไรก็ตามแม้จะชอบบทกวี  แต่หนุ่มหาดใหญ่ก็สอบตกวิชาร้อยกรองและวรรณคดีวิจารณ์อย่างซ้ำซาก  รวมทั้งวิชาภาษาบาลีด้วย  จนต้องย้ายคณะไปเรียนรัฐศาสตร์                     พ.ศ. ๒๕๓๔  เรียนไม่ทันจบก็ตัดสินใจกลับบ้าน  เพราะเบื่อตัวเองที่ไม่มีอะไรดีขึ้นมา  ประกอบกับทางบ้านไม่มีคนช่วยงาน                     ไอ้หนุ่มนักบู๊กลับมาเป็นลูกมือของแม่ในร้านก๋วยเตี๋ยว  และช่วยทำงานสารพัดทั้งกวาดบ้าน ล้างจาน  และเตรียมของขาย  รวมทั้งทำบะหมี่ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่เตี่ยถ่ายทอดให้ตั้งแต่เรียนชั้น ม.๔                     เขาเลิกใช้ชีวิตโลดโผนอย่างสิ้นเชิง  พร้อมกับเริ่มต้นเขียนบทกวีอย่างจริงจัง  โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  พ.ศ. ๒๕๓๕ จะเขียนมากเป็นพิเศษและสื่อออกมาตรงๆตามอารมณ์อันร้อนแรง  หลังจากนั้นก็เขียนมาอย่างสม่ำเสมอและผลงานคลี่คลายไปเป็นเชิงสัญลักษณ์มากขึ้น                     ในชีวิตการเขียนบทกวี  เขานับถือ "นายพรานผี" แห่ง "ข่าวพิเศษ" ยุคก่อนหน้านี้ว่าเป็นผู้ที่ "ร่อนตะแกรง" เขามาอย่างแท้จริง                     ในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ไอ้เสือน้อยรับงานจากแม่มาทำร่วมกับพี่สาวอย่างเต็มตัว  แถมยังทำบะหมี่ส่งให้แก่ร้าน "หมี่ไก่" ของญาติกันอีกด้วย  งานทุกอย่างจึงหนักและเหน็ดเหนื่อย  เขาต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดและได้นอนเกือบเที่ยงคืน                     "จริงๆผมควรจะตื่นตีสามครึ่ง  เพื่อลุกขึ้นมาเตรียมของขาย  แต่ที่เป็นอยู่คือผมตื่นตีห้าประจำ (หัวเราะอายๆ)  ตื่นแล้วไปตลาด  หลังจากนั้นก็ขายของเรื่อยจนถึงบ่ายสาม  กว่าจะเก็บร้านเสร็จก็ห้าโมงเย็น  ต้องรอเป็ดที่ต้มไว้สักประมาณทุ่มกว่าๆถึงจะเสร็จงาน  แต่ก็ยังไม่ได้หยุดพักเพราะผมต้องมานั่งปั้นหมี่ให้เป็นก้อนอีก  บางทีก็สี่ทุ่มถึงจะเสร็จ"                     เสร็จแล้วเขาเล่นอินเตอร์เน็ตต่ออีกนับนาน  ก่อนจะเข้านอน
                    เรื่อง "อินเตอร์เน็ต" เป็นอีกชีวิตหนึ่งของชายวัย ๓๕ ปีผู้นี้เลยทีเดียว  เขาเป็นสมาชิกขาประจำของบอร์ด "หลุดโลก"  และเป็นนักแชทตัวฉกาจใน  msn  นอกจากนี้ก็มีเว็บไซต์ของตัวเองชื่อ "www. geocities.com/ meepedstory"  โดยเพื่อนชื่อ "พีค" ที่รู้จักกันในบอร์ดหลุดโลกเป็นผู้ทำให้  เป็นแหล่งเก็บบทกวีพร้อมกับเพลงของเขาที่แต่งเอาไว้                     บทกวีคือคุณค่าในชีวิตของมนตรี                     "เป็นส่วนที่ทำให้ผมเต็มอิ่ม  ขายหมี่มันเหนื่อยทั้งวัน  งานมันจุกจิก  ขายหมี่เสร็จมานั่งอยู่กับบทกวีเพื่อให้ได้งานสักชิ้นหนึ่ง  มันจะหายเหนื่อยหมดเลยทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีที่ผ่านมา  บทกวีชิ้นหนึ่งที่ผมเขียนเสร็จผมจะอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อ่านจน...ถ้าเป็นดอกไม้คงเฉา  ความรู้สึกหนึ่งก็คือว่า เฮ้ย กูทำได้แล้ว                     "อีกอย่างหนึ่งคือโดยอาชีพขายหมี่ขายก๋วยเตี๋ยวนี่เมื่อเด็กๆถูกเพื่อนดูถูกอยู่เสมอว่าต่ำต้อย น่าอาย เป็นลูกเจ๊กลูกจีน  ก็ได้แต่โกรธและน้อยใจ  เคยถามแม่ว่าทำไมต้องขายก๋วยเตี๋ยวด้วย  ยังจำได้ตอนนั้นเรียน ป.๕/๓  นอนหนุนตักแม่ในเย็นวันหนึ่ง  แม่ก็ลูบหัวแล้วบอกทำนองว่า  แม่เลี้ยงลูกทุกคนให้โตมาได้ก็ด้วยหม้อก๋วยเตี๋ยวนี่แหละ  ผมจึงภูมิใจที่มีบทกวีมาจากคนขายหมี่เป็ด"                     ถามว่าบทกวีของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง                     เขาตอบว่าคนรุ่นใหม่ไม่กล้าเขียนในแนวใหม่ทั้งด้านมุมมองและเนื้อหา  แต่จะเขียนเลียนแบบตามๆกันไปจนไม่มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง  การเลียนแบบไม่ใช่ความเสียหาย  แต่ถึงจุดหนึ่งต้องสลัดแบบนั้นออกไป  แล้วเขียนอย่างที่ตัวเองเป็นทั้งด้านอารมณ์และทัศนะ                     "ปัญหาสำคัญอีกอย่างของกวีรุ่นใหม่ก็คือการใช้คำ  คุณยังคุมคำของคุณไม่อยู่  คุณไม่จำเป็นต้องใช้คำวิลิศมาหรา  ไม่จำเป็นต้องใช้คำสูง  ใช้คำที่พูดในชีวิตประจำวันนี่แหละ  แต่คุณมาแต่งให้มันสวย  คุณมีดินอยู่ก้อนหนึ่ง  คุณตบมันเข้าไป  ตบมัน ปาดมัน ให้เป็นรูปร่างอย่างที่คุณต้องการ"                     กวีหาดใหญ่ชอบบทกวีของ "พัฒนะ  ปฐมพงศ์"  ที่เงียบหายไปนานแล้ว  เพราะมีแนวการเขียนที่ใกล้เคียงกับบทกวีของเขา  และชอบบทกวีของ "ไพวรินทร์  ขาวงาม"  โดยเฉพาะชุด "คำใดจะเอ่ยได้ดังใจ"  กับ "ฤดีกาล"                     "บทกวีของไพวรินทร์มีพลังโดยง่ายและงาม"  เขาสรุป                     บทกวีที่ดีในทัศนะของกวีหมี่เป็ดต้องมีความ "ลงตัว"                     "คุณจะเขียนเรื่องอะไรก็แล้วแต่  ขอให้มันลงตัว  มันจะต้องประกอบไปด้วยอารมณ์  คุณต้องชักนำคนอ่านให้ดำดิ่งไปกับความรู้สึกขณะที่คุณเขียนให้ได้  เพราะมันคือบทกวีไม่ใช่บทวิชาการ  ส่วนเนื้อสารขึ้นอยู่กับว่าคนเขาจะคิดอะไรได้มากน้อยแค่ไหน  แต่ว่ามุมมองสำคัญมาก  มันมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง  ทำไมความรักเขียนเป็นเพลงได้หลายร้อยเพลง  และมีเยอะที่เป็นอมตะ  นั่นคือมุมมองที่มีต่อมัน  มุมมองที่เอาอารมณ์เข้าไปจับแล้วทำออกมาอย่างเข้าถึง"                     นอกจากเขียนบทกวีแล้วไอ้เสือน้อยยังเขียนเพลง  เขาบอกว่าเติบโตมากับเพลงลูกทุ่งรุ่นสายัณห์  สัญญา,  แสงสุรีย์  รุ่งโรจน์, สาลิลา  กิ่งทอง ฯลฯ
                    ตอนเด็กๆเขาหยอดตู้เพลงแล้วนั่งฟังหน้าตู้โดยไม่สนใจใคร  และจดเนื้อเพลงจากรายการวิทยุมาหัดร้อง
                    หลังกลับจากเรียนที่ ม.รามคำแหงแล้วได้แต่งเพลงลูกทุ่งและสตริง(เพื่อชีวิต)ไว้จำนวนไม่น้อย  พอถึงจุดหนึ่งก็อยากบันทึกเสียงขาย  จึงจ้างนักร้อง นักดนตรี และสร้างห้องบันทึกเสียงเล็กๆขึ้นมาทำงานด้านนี้  สิ้นเงินไปนับแสนบาท  แต่สุดท้ายก็ติดปัญหาสารพัดอย่าง  โครงการนี้จึงยังไม่สำเร็จ                     เพลงลูกทุ่งทุกวันนี้มนตรีบอกว่าสร้างดนตรีจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่  ทำให้กระด้าง หยาบ และทื่อ  ส่วนทำนองเพลงก็ยังติดอยู่กับแนวทางของครูไพบูลย์  บุตรขัน  จึงมีแต่ความซ้ำซาก  ต้องหันไปแข่งกันทางด้านเนื้อร้อง  ใครมีประเด็นดีกว่ามีภาษาดีกว่าก็จะเป็นที่ยอมรับ  และนักร้องจะเป็นผู้ตัดสินอีกทีหนึ่งว่าเพลงจะดังหรือไม่                     "ปัจจุบันค่ายเพลงพยายามหาเพลงมาป้อนให้นักร้องที่ถึงคิวทำตามตลาดโดยไม่ได้คิดถึงอะไรนอกจากขอตามน้ำไปด้วยคน  มีเพลงคาเฟ่ก็คาเฟ่กันตะพึดตะพือ  มี "ไชยา  มิตรชัย" ก็มีพระเอกลิเกมาร้องกันตะบี้ตะบัน  ไม่ใช่ลิเกก็เอาไอ้ที่เสียงหวานหยดย้อยหน้าหล่อๆก็ยังดี  เราจึงหาเสียงอย่างชาย  เมืองสิงห์,  ชายธง  ทรงพล,  เสกศักดิ์  ภู่กันทอง,  ปอง  ปรีดา  อะไรแบบนี้มาฟังได้ยาก  แต่ละคนที่ออกมาก็หาความแตกต่างกันไม่ได้เลย. พอ "สลา  คุณวุฒิ" ดังถนนทุกสายก็มุ่งหน้าไปหาสลากันทั้งนั้น  คนๆเดียวจะอัจฉริยะเพียงใดก็ตามที  มันก็เหมือนอ้อยนั่นแหละ  ไม่นานก็จะเหลือแต่ชาน  หากยังใช้งานกันจนบอบช้ำอย่างนี้                     "คนเขียนเพลงหน้าใหม่ๆจะเจาะเข้าไปก็ดูจะยากเหลือกำลัง  ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน  ส่งไปก็ไม่รู้จะโดนขโมยโดนแปลงโดนยำเนื้อเพลงหรือไม่  เครดิตและค่าเพลงจะได้หรือไม่ก็ไม่รู้  ยิ่งวงการลูกทุ่งมันแทบจะไม่ต่างกันเลยกับวงการมวยวงการนักเลง  ยังหาความไว้วางใจยากอยู่นัก"                     เขา "ฟาด" ต่อไปว่าเพลงของสลา  คุณวุฒิ กลายเป็นกระแสหลักในสังคม  แต่ด้านภาษายังเหมาะกับชนชั้นกลางมากกว่าชนชั้น "ลูกทุ่ง" จริงๆ                     ส่วนเพลงเพื่อชีวิต  หนุ่มหาดใหญ่มองว่าจะต้องปรับปรุงเนื้อหาและดนตรีให้พ้นจากความล้าหลังและซ้ำซากเพื่อดึงชนชั้นกลางมาฟังให้ได้  เพราะตั้งแต่ยุคของคาราวาน-คาราบาว เป็นต้นมาเพลงเพื่อชีวิตแทบไม่พัฒนาเลย                     "เมื่อคุณจะทำเป็นอัลบั้มออกมา  คุณต้องรำลึกเสมอว่าคุณไม่ได้เล่นอยู่ในร้านเหล้าที่คนเมาจะฟังผ่านๆ  ยิ่งเป็นมิวสิควิดีโอส่งเสริมการขายด้วยแล้ว  คุณต้องรู้ว่าคุณไม่ได้นั่งเล่นอยู่ใต้ต้นแคดื่มเหล้าขาวอยู่  เพลงเพื่อชีวิตยุคหลังๆบอกได้ชัดว่าคุณขาดทักษะในการเขียน  ขาดการอ่านที่เป็นหินลับสมอง  ขาดการสังเกตการตั้งคำถามที่เป็นวัตถุดิบ  และดูเหมือนจะขาดจิตสำนึกของเพื่อชีวิต"                     เขาว่าผู้ฟังปัจจุบันมีโลกความเป็นจริงรออยู่เบื้องหน้า  ศิลปินต้องตามให้ทัน  ต้องฉลาดและรู้มากกว่าผู้ฟัง  และต้องมีสำนวนภาษาที่สามารถดึงให้ผู้ฟังหันมารับสารของตัวเองได้
                    มนตรีเขียนทั้งบทกวีและเพลง  และพบว่าเขียนบทกวีเขียนยากกว่า                     "ถ้าเขียนเป็นเพลง  ผมจะคิดท่อนเริ่มต้น  ท่อนกลาง  ท่อนฮุค  และท่อนจบ  เป็นความคิดรวดเดียวอยู่ในสมอง  ปัญหาก็คือหาทำนองมาใส่ให้มันเท่านั้นเอง  แต่ถ้าจะเขียนบทกวีต้องนั่งนึกว่าจะเขียนยังไง ขึ้นต้นยังไง  ตะล่อมยังไง  ซึ่งมันจะเกิดทีละขั้นทีละตอน  บางทีเขียนไปๆประเด็นมันเปลี่ยน  จากที่ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  บทกวีเลยยากกว่าเพลง"                     แต่เพลงก็มีพลังทางสังคมมากกว่าเพราะมีแรงโฆษณามากกว่า  เขาว่าอย่างนั้น                     เป็นคนเขียนบทกวีที่ต้องทำบะหมี่ทุกวัน  มนตรี  ศรียงค์  พบความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้อย่างไร                     "คุณต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน  ต้องรู้จักมัน  เข้าใจมัน  จึงสามารถทำออกมาได้ดี  เหมือนการทำเส้นหมี่  ถ้าคุณไม่เข้าใจมันจะไม่สามารถนวดมันได้อย่างเหนียวนุ่ม  บางทีมันจะแห้งไปบางทีมันจะนิ่มไป  คุณต้องเข้าใจมันให้ได้ว่าน้ำจำนวนนี้ใช้กับแป้งจำนวนนี้ได้ไหม  ถ้าไม่ได้ก็ต้องใส่น้ำเข้าไปอีก                     "เหมือนกับการเขียนบทกวี  ถ้าคุณไม่รู้จักประเด็นที่จะเขียน  ไม่เข้าใจมัน  คุณจะไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมันได้  การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบทกวีก็คือคุณจะต้องเป็นตัวละครที่กำลังเขียนอยู่นั้นให้ได้  คุณต้องมีมุมมอง มีทัศนะ มีภาษา และสำนวนที่เหมาะสมกับบริบทของงาน"                     นี่คือข้อสรุปที่เขาค้นพบในระหว่างคืนวันที่ก้าวเดินไปพร้อมกับหน้าที่การงานอันหน่วงหนัก
                    มนตรี  ศรียงค์  จากเด็กชายขี้อายกลายเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนไปทางมุทะลุดุดัน  จนปัจจุบันเขาเป็นผู้ชายที่สร้างค่าในชีวิตได้อย่างเต็มตัว.

Comment #1
ปุถุชน (Not Member)
Posted @28 พ.ย.46 17.09 ip :

ผมอ่านบทสัมภาษณ์นี้ เห็นมีไอ้เมลล์ของคนถูกสัมภาษณ์เลยลองแอดMSN ไม่นึกว่าคนนี้มันจะยอมคุยด้วย คุยไปคุยมา นายมนตรี ศรียงค์ พาผมล่องลัดเลาะไปตามชุมชนต่างมากมาย แต่ก็ยังคาดว่ายังมีหลายชุมนที่นายมนตรีกักเก็บไว้

แถม ๆ  นายมนตรีใจดี แนะนำสาว ๆ ที่เป็นแฟนคลับให้ได้รู้จักหลายต่อหลายคน

แต่บางคน ผมรู้จักด้วยวามสามารถส่วนตัว (ประการหลังนี้สร้างความเคืองตาสนิมเหล็กนิดๆ)ฮา

เพราะบทสัมภาษณ์แท้ ๆ  จึงได้รู้จัก นายมนตรี!!!

Comment #2
กิรณี (Not Member)
Posted @30 พ.ย.46 12.21 ip :

เท่าที่อ่านงานของพี่ เท่าที่พูดคุยกันมา เท่าที่รู้ได้จัก เชื่อนักว่า 'ช้างเผือกเกิดในป่า' --- เป็นจริง

Comment #3
ผีเสื้อปีกบางฯ (Not Member)
Posted @30 พ.ย.46 20.19 ip :

ดีใจมากๆๆๆ...ที่รู้จักพี่หมี่ ขอบคุณมากๆๆๆ...ที่พี่หมี่คุยกับผีเสื้อฯ ขอบคุณอะไรก็ตาม...ที่ให้มีคนอย่างพี่หมี่อยู่ในโลกนี้ อิอิอิอิ...ถ้าพี่หมี่อายุน้อยกว่านี้นี๊ดดดดนึง...จาจีบพี่หมี่แน่นอนเลย

Comment #4
ปุถุชน (Not Member)
Posted @1 ธ.ค.46 10.09 ip :

ผีเสื้อจ้า..ผีเสื้อ  ดอกไม้อยู่นี่!!!

Comment #5
ก อ ด - สิ - ห ล้ า~ (Not Member)
Posted @3 ธ.ค.46 18.06 ip :

ยินดีที่ได้รู้จัก เช่นกัน .. พี่บะหมี่เป็ด

Comment #6
tiki (Not Member)
Posted @3 ธ.ค.46 22.26 ip :

ยินดี

Comment #7
|ndependent (Not Member)
Posted @3 ธ.ค.46 22.38 ip :

วันนี้เพิ่งเปิดอ่านมติชนสุดสัปดาห์มาเลยค่ะ

Comment #8
วาพราว (Not Member)
Posted @4 ธ.ค.46 13.22 ip :

  • จำได้ว่าตอนอ่านสัมภาษณ์ในมติชนสุดฯ วันนั้น พออ่านจบได้อะไรมากมายจากบทสัมภาษณ์ของ  "กวีหมี่เป็ด" มาในวันนี้...ได้รู้จักกับพี่หมี่
    ก็ยังได้รับสิ่งที่มากมาย  เก็บข้อคิด  คำแนะนำไว้เป็นแรงศรัทธา เดินต่อไปข้างหน้า... โห...ขอบคุณมากมายค่ะ

^______________^ ...ยิ้ม กว้าง  กว้าง

Comment #9
ธิดาดาว (Not Member)
Posted @19 ธ.ค.46 20.07 ip :

ยินดีมากมายค่ะที่ได้รู้จักพี่ ไม่ว่าจะเป็นหมี่เป็ดฯในเว็บประพันธ์สาส์น มนตรี ศรียงค์ ที่ค่ายกวีน้อยเมืองใต้ หรือจะเป็น อีเมล์ที่ทำให้ได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนพี่ ณ ที่นี่ เป็นปลื้มค่ะที่พี่ให้เกียรติเข้ามาเยี่ยมธิดาดาวเสมอ จะติดตามผลงานพี่ต่อไปเป็นแรงใจให้เสมอค่ะ ธิดาดาว

Comment #10
ผู้มาจากฟ้ากว้าง (Not Member)
Posted @30 ม.ค.47 12.25 ip : 202...203

รู้จักกับพี่หมี่มาก้อนาน จำไม่ได้ว่าไปแอดเมล์พี่แกมาจากไหน นาน ๆ คุยกันที เพราะคุยครั้งแรกก้อรู้สึกว่า ไอ้หมอนี่หน้าหม้อ  แล้ววันหนึ่ง ฝนตก หมาหอน พายุแรง เรื่องไม่คาดฝันก้อเกิดขึ้น
ก้อพี่แก เอาลิงค์มาให้อ่าน เป็นกวีของหมี่เป็ดฯ  งงเป็นไก่ตาแตก ไรวะ คุยด้วยตั้งนานไม่ยอมบอกว่าเขียนกวี แถมยังเขียนดีอีก  "มนตรี ศรียงค์"  ชื่อนี้เริ่มคุ้น ๆ สายตา

พยายามรื้อกรุหนังสือตัวเองเพราะคิดว่าเคยมีงานของพี่หมี่เล่มแรก ดอกฝัน:ฤดูฝนที่แสนธรรมดา

ไอ้หมอนี่หน้าหม้อ...หายไปจากความคิด เหลือไว้แต่ชายหนุ่มนัยย์ตาเศร้า ที่ทำให้เราอยากเข้าไปคลอเคล้าในหัวใจคนรักกวีเพื่อชีวิต..เช่นเรา

Comment #11
หมี่เป็ด ผู้ชายทระนง (Not Member)
Posted @30 ม.ค.47 16.18 ip : 203...12

เอื๊อกกกกกกกก


พูดตรงไปปะวะนี่?

Comment #12
ผู้มาจากฟ้ากว้าง (Not Member)
Posted @3 ก.พ.47 11.02 ip : 202...209

ที่บอกว่ารัก น่ะเหรอ

อ้าว บอกรัก ทำไมต้องอ้อมค้อมด้วยล่ะ

แต่งงานกันมั้ย เอามั้ย ๆ

Comment #13
dinsor (Not Member)
Posted @3 ก.พ.47 12.46 ip : 202...24

จะได้เจอตัวจริงเสียงจริงของ กวีหนุ่มไฟแรงแล้ว อิอิ

Comment #14
ผีเสื้อปีกบางฯ (Not Member)
Posted @3 ก.พ.47 13.10 ip : 203...74

อิจฉา...ตาร้อน...ตาลุกเป็นไฟ อิจฉาพี่จ๋า...จะได้เจอพี่หมี่ตัวเป็นๆ (แถมด้วยไก่ที่ พี่หมี่จะหิ้วไปฝาก)

พี่จ๋า...ฝากดูด้วยนะ...พี่หมี่นัยน์ตาสีอะไร พี่หมี่ทำตาโตๆให้พี่จ๋าดูด้วยน๊า

พี่หมี่นะ...จำไว้เลย...ตั้งแต่คุยกันมา พี่หมี่ไม่เคยจีบ...ไม่เคยหม้อหนูเลยอ่ะ ฮือๆๆๆๆ...ทำหนูเสียselfไปหมด

Comment #15
ผู้มาจากฟ้ากว้าง (Not Member)
Posted @3 ก.พ.47 13.18 ip : 202...209

55555 มาขำคนข้างบนอ่ะ

ทำไม อยากโดนพี่หมี่หม้อหรอ 555555

อุ้ย มีการนัดดูตัวกันด้วยอ่ะ ไรกันนี่พี่หมี่ งั้นสินสอดไม่คืนละกัน ชิชิ

Comment #16
หมี่เป็ด ผู้ชายทระนง (Not Member)
Posted @3 ก.พ.47 15.12 ip : 203...11

เอาน่า--

รักทุกคนเท่ากันแหละ

Comment #17
เอี่ยว (Not Member)
Posted @3 พ.ค.47 2.19 ip : 203...114

ก๊ากกกกกกกก...... พี่หมี่ครับ!
ไม่บอกหรอกผมคิดอะไร!!

Comment #18
Posted @21 ก.ย.47 16.49 ip : 203...11

ทำไมจังหวะชีวิตของแม่มดอย่างเรา มันดีเลย์ซะขนาดนี้หนอ ท่าทางจะต้องเปลี่ยนไม้กวาดซะแล้ว...อันนี้มันไปไม่ทั่วเลย ดูดิ..พึ่งจะพามาถึงที่นี่เมื่อกี๊นี้เอง

Comment #19
Around Here (Not Member)
Posted @19 ต.ค.48 9.38 ip : 58...152

กูอ่านแล้ว อยากเอาตีนสะกิดหน้าไอ้หมี่ซะเหลือเกิน ไพร่อะไรปานนั้น!!!

Comment #20
หมี่ทระนง (Not Member)
Posted @19 ต.ค.48 16.36 ip : 203...8

^ ^ ^ ก๊ากกกกกกกกกก  ตามมาถึงที่นี่เลยเรอะ


// เอาน้ำร้อนสาดไล่เสนียดจังไรไอ้ต้อมออกจากบอร์ดอย่างเร็ว

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 30 user(s)

User count is 2281127 person(s) and 9182368 hit(s) since 30 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).