บทสัมภาษณ์กับเวบประพันธ์สาส์น
www.praphansarn.com/new/c_talk/detail.asp?id=202
มนตรี ศรียงค์....ฉันทลักษณ์นั้นแค่ของเล่น
มนตรี ศรียงค์ กวีมือรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์คครั้งล่าสุด(2549) เป็นหนุ่มใต้ผู้หลงใหลในการเขียนบทกลอน-กวี แรกเริ่มเดิมที่เขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นทั่วๆไป ไม่ได้สนใจและไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนว่า ชีวิตนี้จะมานั่งเขียนอะไรเพ้อฝันตามจินตนาการของตัวเองได้นานนับเป็นชั่วโมง แถมเป็นการเขียนในแบบที่ไม่มีใครบังคับให้เขียน ตัวเองต่างหากเล่าที่เร่เข้ามานั่งจ่อมกับภวังค์นึกคิด สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนตรี ศรียงค์เดินหลงอยู่ในโลกน้ำหมึกอาจจะเป็นเพราะหนังสือของเสนีย์ เสาวพงษ์เพียงแค่สองเล่มที่เขาบังเอิญได้อ่านจากช่วงชีวิตที่สับสนของวัยรุ่น
ครับวันนี้คุยนอกรอบของเว็บไซต์ประพันธ์สาส์นกับลังพาท่านมานั่งล้อมวงคุยกับ มนตรี ศรียงค์ มือกวีหมี่เป็ดแห่งทะเลสาบสงขลา
- หันมาเขียนหนังสือได้อย่างไร
คุณประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เป็นผู้เอาหนังสือ ความรักของวัลยากับปีศาจ มาให้อ่านเมื่อขณะเรียนรามฯประมาณปี ๒๕๒๙ ๒๕๓๐ ทั้งสองเล่มเขียนโดยเสนีย์ เสาวพงศ์ ๒เล่มนี้ถือเป็นหนังสือนำร่องในการทำให้เกิดการอ่านติดตามมา อ่านเป็นบ้าเป็นหลัง อ่านอย่างหิวกระหายมากครับ ส่วนการเขียนนั้นผมเขียนเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ม.ต้น เขียนกลอนอย่างเดียว แต่ไม่กล้าให้ใครรู้ว่าเราเขียนกลอนนะ มันรู้สึกว่ากลอนนั้นมันเหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่า ไม่อยากจะถูกเพื่อนๆล้อ ผมเขียนใส่สมุดจนเต็มเล่มไม่รู้กี่เล่ม เสียดายที่มันหายไปหมดแล้ว ต่อมาเมื่อ ม.ปลาย ผมก็ยังเขียนสม่ำเสมอ คราวนี้เขียนแล้วให้เพื่อนๆช่วยอ่าน เพื่อนๆก็เอาบางชิ้นไปจีบสาว ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จไปหลายคนครับ ยกเว้นผมเอง ยังเขียนต่อเนื่องจนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จึงส่งไปที่สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ตอนนั้นคุณไพลินเป็นผู้คัดงานอยู่ ไม่ได้ลงพิมพ์ครับ แต่ได้กำลังใจจากบัญชรข้างคอลัมน์นั้นมาก ต่อมาจึงเขียนอย่างหนักหน่วงแล้วยึดฐานที่มั่นที่ข่าวพิเศษที่นายพรานผีคุมคอมลัมน์จนเปลี่ยนหัวหนังสือเป็นอาทิตย์ครับ ดอกเบี้ยรายสัปดาห์ที่กิริยากรคุมอยู่ก็ได้ลงบ่อย ฐานสัปดาห์ก็ได้ลงบ่อยสมัยวรรณฤกษ์คุมครับ
- ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
ขายบะหมี่เป็ดตุ๋นที่หาดใหญ่ครับ เป็นอาชีพที่ตกทอดมาจากสมัยเตี่ย สมัยเตี่ยขายเมื่อสัก ๔๐ ๕๐ ปีก่อนนั้นขายที่หน้าโรงหนังโอเดียน ซึ่งเป็นย่านโต้รุ่งขึ้นชื่อของหาดใหญ่ เตี่ยหัดให้ผมค้าขายมาตั้งแต่เล็ก แต่คงนัยว่าเป็นลูกชายคนเดียว คนสุดท้องด้วยกระมัง ผมจึงไม่ใส่ใจจะเรียนรู้การค้าการขายมาก จนเมื่อกลับจากรามฯนั่นแหละจึงได้เริ่มต้นเรียนรู้การค้าและวิธีเตรียมของขายจนหมดสิ้น ช่วยแรกๆก็ยังสับสนว่าจะเอายังไงกันดีแน่กับชีวิต จนผ่านล่วงช่วงเปลี่ยนผ่านไปอย่างทุลักทุเลพอสมควรนั่นแหละ ผมจึงยึดเอาอาชีพนี้เป็นงานการอย่างจริงจัง
- เขียนบทกวีอย่างเดียวเหรอ
ก็ไม่เชิงครับ แรกๆนั้นใช่ ผมให้ค่ากับทกวีมากกว่างานเขียนร้อยแก้ว มันเป็นความชอบส่วนตัว ผมชอบในเสียงในสัมผัส จนเมื่อได้เขียนร้อยแก้ว พบว่ามันก็สนุกและรับใช้ความคิดเราได้เหมือนกัน ว่าไปแล้วมันอิสระที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดแล้วอยากสื่อออกมาได้ดีกว่าร้อยกรอง ร้อยกรองนี่มันจะติดตรงฉันทลักษณ์ที่คอยบังคับทั้งรูปและเสียงอยู่ไม่น้อย ผมไม่ได้หมายความว่าฉันทลักษณ์ไม่ดีนะครับ ผมชอบเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็เห็นหลายคนติดอยู่กับฉันทลักษณ์จนบทกวีที่อ่านแล้วมันน่าจะได้สวยกว่าที่ใช้ กลับติดขัดอธิบายได้ไม่ชัดเจนสวยงามอย่างน่าเสียดาย ผมพูดเสมอว่าฉันทลักษณ์นั้นแค่ของเล่น เป็นของเล่นของผู้ที่มีคำมากมายอยู่ในหัว และผลิตมันออกมาให้อ่าน นึกออกไหมครับ อย่างเรามีคำมากมายในหัวทั้งบาลีสันสกฤตทั้งอังกฤษทั้งจีน เราก็สามารถหยิบคำไหนก็ได้เอามาใส่ในตรงที่บังคับ โดยดูบริบทของมันว่าเข้ากันได้ไหม ลงตัวไหม และอาจจะสร้างแพทเทิร์นฉันทลักษณ์ใหม่เองเสียเลย มันเป็นแค่รูปแบบเท่านั้น เป็นชุดฟอร์มว่าคุณทำงานอยู่บริษัทอะไรเท่านั้น เพราะงานเขียนทุกชนิดมันมีใจความสำคัญตรงที่เนื้อหาและลีลาการถ่ายทอด เพลง เรื่องสั้น นิยาย บทกวี ความเรียง นิทาน มุขปาฐะ ทั้งนั้นครับที่ใจความสำคัญของมันคือการสื่อในสิ่งที่เราคิด และการใช้ฉันทลักษณ์นั้นก็ควรใช้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเสียงกับคำด้วย ไม่งั้นมันจะโดด จะอีหลุกขลุกขลักเวลาอ่านครับ
- สถานการณ์การเล่มรวมบทกวีกับสนพ.เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน
วันที่ผมส่งหนังสือ การพังทลายของทางช้างเผือก เข้าร่วมรางวัลเซเวนบุคส์อวอร์ดนั้น ผมถามทางประชาสัมพันธ์ว่าทำไมบทกวีจึงทำเป็นหนังสือทำมือได้ เขาตอบมาว่าทางกองประกวดเข้าใจดีว่าบทกวีนั้นหาสำนักพิมพ์ได้ยากนัก การอนุญาตให้เป็นหนังสือทำมือได้จึงเป็นทางออกหนึ่งให้กับกวี และในวันที่รับรางวัล คุณวัฒน์ วรรลยางกูร ได้ถามผมว่ามีวางจำหน่ายแล้วหรือยัง เมื่อทราบว่าทำเป็นหนังสือทำมือคุณวัฒน์ก็อุทานออกมาว่า อนิจจา ชะตากรรมกวี คำตอบของทั้งสองท่านที่ยกมาอ้างน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนสุดสำหรับคำถามนี้ครับ ทำไมสำนักพิมพ์จึงไม่ค่อยพิมพ์บทกวี? เรามักจะพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเพราะหนังสือบทกวีมันขายยาก ก็จริงอยู่ไม่น้อย แต่กวีลืมตั้งคำถามเอากับตัวเองหรือไม่ ว่าเราเขียนอะไรอย่างไรกันอยู่ ไทยเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน ทำไมจึงไม่มีคนอ่าน เราไม่เคยหาคำตอบอื่นใดนอกจากโยนไปให้กับกระแสทุนนิยม เป็นคำตอบสำเร็จรูป ฉีกซองแล้วรินน้ำร้อนพร้อมกินได้ทันที กวีต้องดิ้นรนด้วย ดิ้นรนเพื่อพัฒนางานของตนให้พ้นไปจากความซากซ้ำจำเจมานับทศวรรษๆ เช่นที่ พนม นันทพฤกษ์ ได้ดิ้นรนมาเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นความแปลกใหม่เป็นความลงตัวใหม่ และดำรงอยู่ให้กวีรุ่นใหม่ๆศึกษา ภาระของเราไม่ใช่การเดินซ้ำรอยเท้าคนมาก่อน แต่เราต้องสร้างรอยเท้าใหม่ มันยาก แต่หากให้กวียังมีชีวิต เราต้องทำ
- ตอนเป็นวัยรุ่นโลดโผนมามากบทกวีช่วยอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ได้บ้าง
ผมไม่ใช่คนใจร้อน ไม่ว่าจะเมื่อช่วงอายุเท่าไร แต่เมื่อความอดทนสุดกลั้นผมก็อาจระเบิดได้อย่างรุนแรงแม้ในเรื่องเล็กน้อยไม่เป็นเรื่อง ยิ่งการออกไปเช่าบ้านอยู่ที่สงขลาเมื่อเรียน ม.ปลาย กับเมื่อเรียนรามฯ มันอิสระมาก มากจนไม่เคยคิดว่ากรอบใดจะมาขวางเรา ผมยืนยันว่าผมเป็นคนใจเย็นแม้จะไม่ค่อยสุขุมนักก็ตาม ความรักเตี่ยกับแม่นี่แหละครับที่เป็นน้ำเย็นรดหัวใจยามมันลุกเปลว และยิ่งมาประกอบอาชีพค้าขายที่ต้องพบลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ร้อยสีพันอย่างด้วย การค้านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งครับที่ทำให้ผมต้องยิ้มเมื่อยามหงุดหงิด เตี่ยสอนผมว่าอยากได้เงินจากกระเป๋าเขา เราต้องอดทนให้ได้ในทุกสภาวการณ์ ส่วนบทกวีนี่ว่าไปแล้วไม่ได้มีผลมากน้อยนักกับอารมณ์ของผม
- วรรณกรรมคืออะไร งานประพันธ์แบบปลุกใจเสือป่าในมุมมองของมนตรี ศรียงค์ถือว่าเป็นวรรณกรรมด้วยไหม
วรรณกรรมคืออะไร ? คงตอบกว้างๆได้ว่าเป็นการเขียนขึ้นมาเพื่อสื่อสิ่งที่เราคิดอยู่ตามลำพัง มันเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่ต้องอาศัยศิลปะในการถ่ายทอด ผมไม่ค่อยสนใจในเรื่องทฤษฎีอะไรมากนัก เข้าใจเอาตามที่จะเข้าใจได้เอาเอง ถูกบ้างผิดบ้างก็เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ หนังสือปลุกใจเสือป่าเป็นวรรณกรรมไหม? คำตอบก็อยู่ในข่ายที่ผมว่าไว้นั่นแหละ ถ้าอากังฟูเขียนเรื่องวาบหวิวได้อย่างไม่ลามก มันก็น่าจะจัดเป็นวรรณกรรมได้อยู่เพราะมันมีศิลปะมาช่วยลดความแรงของเนื้อเรื่อง เราต้องดูว่าแต่ละเรื่องนั้นเขียนมาเพื่ออะไรด้วย ถ้าอากังฟูเขียนมาเพื่อให้คนสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ก็คงจัดเป็นเพียงแค่หนังสืออ่านเอามันเท่านั้น แต่ถ้า ต๊ะ ท่าอิฐ เขียนเรื่องบนเตียงได้อย่างสวยงามไม่ว่าจะรุนแรงหรืออ่อนโยนก็ตาม คนอ่านแล้วไม่เกิดอาการคลุ้มคลั่งกำหนัดเพราะแก่นของเรื่องไม่ได้หมายถึงการร่วมเพศ งานของ ต๊ะ ท่าอิฐ ก็เป็นวรรณกรรมครับ อย่าไปดูกันเพียงรูปแบบ มันแค่เครื่องมือแค่ของเล่นเท่านั้นครับ
- งานชิ้นไหนใช้เวลาเขียนนานที่สุด
จำไม่ได้ครับ บางชิ้นยาวๆของผมก็เขียนเสร็จภายในไม่กี่วัน งานบางชิ้นก็เขียนเมื่อไหร่ก็เสร็จเมื่อนั้นทันที หลายชิ้นที่ทิ้งไว้ข้ามไปเป็นปีปีแล้วเอามาต่อใหม่ หลายครั้งที่ต้องเปลี่ยนประเด็นของเรื่องเมื่อพบว่าเรามีประเด็นใหม่ ผมเขียนตลอดเวลาครับ ตอนลวกหมี่ผมก็เขียนในหัว ว่างเมื่อไหร่ก็นั่งลงจับปากกา ก่อนนี้ผมทำเส้นบะหมี่เอง เครื่องก็ตีดังปังปังไป ผมก็เขียนในหัวไป ฟังวิทยุไป พอคิดวรรคใดได้ก็วางมือจากงานมาจดไว้กันลืม หลายชิ้นก็เสร็จในห้องทำเส้นบะหมี่ หลายชิ้นก็เสร็จเอาในยามเที่ยงที่ลูกค้ากำลังพัก ลูกค้าจะคุ้นกับภาพที่ผมนั่งหน้าร้านเขียนหนังสือ หลายคนถามว่าผมกำลังเรียนต่อหรือ ได้แต่ยิ้มครับ
- ใช้เวลาคิดเวลาเขียนงานตั้งนานพอโดนลอกรู้สึกยังไงและมีมุมมองในการลอกเลียนงานเขียนเป็นยังไงบ้าง
คนบริสุทธิ์ ขโมยงานผมไปแอบอ้างในพันทิบเมื่อปี ๒๕๔๗ นั้น เขาแอบอ้างสมอ้างอวดอ้างว่าเขาเป็นผู้เขียนขึ้นมาด้วยความยากลำบากยิ่ง ดูได้จากhttp://www.softganz.com/meeped/index.php?&obj=forum(1232) ความเห็นที่ ๘ และตรงความเห็นที่ ๑๕ โดยเฉพาะตรงที่เขาว่า ความจริงที่ว่า สัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสใจ อะไรน่าสัมผัส
จึงมาเป็นเหตุแห่งบทนี้ ในอดีต มันไม่ใช่แค่การลอกธรรมดาแล้วครับ แต่มันเป็นการพยายามจะเป็นผมให้ได้เสียด้วยซ้ำไป จำนวนที่เขาขโมยไปนั้นเท่าที่ผมเสริชหาเจอนะครับ ที่เหลือจะมีอีกเยอะมากน้อยแค่ไหนนี่ผมก็ไม่ทราบได้ และมีคนเชื่อว่างานเหล่านั้นเป็นของเขาจริงๆเสียด้วยสิ ตามลิงค์ไปที่ทุกลิงค์ที่มีไว้นะครับ นั่นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๗ บอกตรงๆว่าแค่ขำๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เนื่องจากเขากระทำผิดต่อผมแล้วดันโดนผมจับได้ เขาก็ควรจะมีค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆสำหรับกรณีที่น่าละอายเช่นนี้ ข่าวเขาเป็นหัวขโมยจึงเป็นที่รับรู้กันทั่วในพันทิบ หน้ากากอันสวยงามของคนพูดหวานรัญจวนใจถูกฉีก ผมจับได้ว่าเขาขโมยของผม ผมประกาศและแฉ เขาก็ไม่เคยออกมาตอบอะไรเลยว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น ครั้นเมื่อผมตั้งกระทู้ดังกล่าวที่เวบของผมในอีก ๒ ปีต่อมา เนื่องด้วยจากการเสริชหาว่ามีใครลอกหรือขโมยงานผมไปที่ไหนบ้าง ก็พบว่ามีอีกเยอะ ที่ไม่ได้เอามาลงให้ดูในกระทู้ก็เพียงแค่ยกเอามาเป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง และคนอื่นๆไม่ได้แอบอ้างว่าเขาเขียนเองด้วยความยากลำบากเหมือน คนบริสุทธิ์ เลย ปรากฏว่าเขาเข้ามาตอบคำถามที่ผมถามไว้มาสองปีแล้วในความเห็นที่ ๒๗ กระทู้ดังกล่าว ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ ซ้ำเขายังดูดีมาก เรื่องอย่างนี้นั้นกฎหมายก็ไม่สามารถป้องกันให้เราได้ เพราะการจะเขียนงานเสร็จชิ้นหนึ่งแล้วไปลงบันทึกประจำวัน มันก็เป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ลอกไม่ขโมยไม่ดัดแปลง ผมไม่เชื่อว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์เขาจะสอนให้เขาเป็นขโมยเป็นนักก็อปปี้งานชาวบ้าน แต่อะไรล่ะที่เขาต้องกระทำการอันน่าละอายเช่นนี้ ต้องการการยอมรับแต่ไม่มีปัญญาเขียนเองใช่หรือไม่? มันเข้าข่ายหลอกลวงไหม? เขาและหลายคนที่อยู่ข้างเขาย้อนผมกลับมาว่าไม่ใช่กระทำเพื่อการค้าสักหน่อย นั่นเป็นความเข้าใจผิดยิ่ง ละเมิดคือละเมิด จะเพื่อการค้าหรือโอ้อวดก็อีกเรื่อง แต่ความผิดได้เกิดขึ้นแล้วด้วยการละเมิด เหตุแห่งการละเมิดน่าจะอยู่ที่เขาขาดจิตสำนึก เขากล้าหลอกชาวบ้านได้ว่าเขาเขียนขึ้นมาเอง มันน่ากลัวว่าเขาจะหลอกอะไรชาวบ้านที่มันใหญ่ยิ่งกว่าหลอกเรื่องบทกวีของผมหรือไม่ และปัจจุบันกรณีละเมิดในอินเทอร์เนตมีมากมายเหลือคณานับ น่าเศร้า น่าละอาย น่าเบื่อหน่าย เราจะสร้างจิตสำนึกชั่วดีถูกผิดและรับผิดชอบให้คนพวกนี้อย่างไรกันดี? แต่ผมไม่ได้ให้ค่าอะไรพวกแบบนี้มากนัก มันก็แค่กาฝากวัชพืชวรรณกรรมเท่านั้น แค่โลนเล็นที่อาศัยอยู่ตามหว่างขานักเขียน - กวีเท่านั้น
- การเกิดของนักเขียนสมัยนี้ยากไหม? (เห็นมีนักเขียนเกิดใหม่แทบเป็นรายวัน)
สมัยนี้มีอินเทอร์เนตเป็นสื่ออย่างหนึ่ง ที่เปิดโอกาสและพื้นที่ให้นำเสนอ มันเป็นทางเลือกทางออกทางหนึ่ง และผมชื่นชมเสมอที่เห็นพวกเขาเขียนกัน จะดีจะด้อยจะมีคุณค่าหรือไม่นั่นว่ากันทีหลัง แต่การเขียนมันคือการขบคิดชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรก็ตาม คุณต้องผ่านกระบวนการการคิดอย่างหนักหน่วงเท่าที่คุณทำได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน แต่การเขียนในอินเทอร์เนตแล้วได้รับเสียงชื่นชมนั้น มันไม่ได้หมายความว่างานของคุณจะดีเด่นเสมอไป เพราะเท่าที่เห็นมักจะเป็นเสียงชื่นชมเพื่อให้กำลังใจเท่านั้นเอง หากตีความความเห็นชื่นชมนั้นพลาดไปนิด มันอาจจะทำให้งานของคุณไม่อาจพัฒนาได้ มันจะน่าเสียดายนัก แต่อินเทอร์เนตก็สร้างนักเขียนที่น่าจับตาดูอยู่มากมายเหมือนกัน เท่าที่ผมรู้จักก็มีคุณชิดชบา, คุณ จสอ.โจ,คุณพระเจ้า ,คุณภูหรือที่ยังเป็นเยาวชนก็อย่าง ศุภวัลยา ปรางแก้ว, SUPERGIRL.,ผีเสื้อปีกบาง มันจึงต้องระวังในเรื่องของเสียงชื่นชมให้มากครับ หนังสือทำมือก็คือทางเลือกหนึ่ง แต่ผมยังเชื่อมั่นในระบบบรรณาธิการ ไม่ใช่เป็นพวกที่ปล่อยไม่ไปนะครับ แต่เนื่องด้วยเชื่อว่างานของเราเราย่อมจะชื่นชม และอัตตาอาจจะก่อขึ้นมาเงียบๆอย่างหยิ่งยะโสเกินชิ้นงาน การมีใครมาคอยอ่านและชี้แนะข้อด้อยของงานมันน่าจะดีกว่าทำเองยอเอง แต่ผมไม่ได้รังเกียจหนังสือทำมือนะครับ เพียงแค่เตือนๆกันว่าอย่าละเลยระบบบรรณาธิการเลยเท่านั้น ส่วนบนแผงที่มีดาษดื่นนั้น บางส่วนเป็นเรื่องของธุรกิจที่เราจำเป็นต้องเข้าใจด้วย เราไม่อาจมีแต่หนังสือภูมิปัญญาอย่างเดียวได้บนแผง และมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย สังคมควรจะมีโอกาสได้อ่านอะไรที่ผ่อนคลายที่ต้องกับรสนิยมตน เราต้องใจกว้าง แล้วเร่งพัฒนาตนเองเพื่อไปเบียดยืนระยะเวลาบนแผงให้นานให้ได้ มันยาก แต่เราต้องทำ
- ทำงานส่วนตัวด้วยแบ่งเวลาในการเขียนยังไงบ้างครับ
ผมเขียนตลอดเวลาครับ อย่างที่ได้บอกไว้ก่อนหน้าแล้ว เขียนให้เสร็จในหัว แล้วมาลงรายละเอียดทีหลัง เมื่อก่อนเมื่อเก็บร้านเลิกงานเสร็จ ผมจะเขียนอย่างเอาเป็นเอาตายในช่วงกลางคืน ไม่ก็อ่านหนังสืออย่างหามรุ่งหามค่ำ จนมามีอินเทอร์เนตนี่แหละครับที่ทำให้การเขียนในช่วงเวลานี้มันลดน้อยลงไป แต่ผมชดเชยมันด้วยเวลากลางวัน โดยไม่ให้งานหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนี้ไปกระทบงานหล่อเลี้ยงชีวิต
- เวลาเขียนงานไม่ออกทำยังไงครับ
ปล่อยมัน เขียนไม่ได้ก็ไม่เขียน อาจจะสบถแรงๆเอากับตัวเอง แล้วหันไปสนใจอย่างอื่น ลืมมันให้ได้ การลืมที่ดีที่สุดของผมคือเล่นกีฬา เมื่อก่อนเตะบอล ตอนนี้เตะบอลไม่ไหวแล้วครับ วิ่งไม่ทันเด็ก แรงกระแทกก็ไม่ได้เท่า เลยหันมาปั่นจักรยานแทน ได้เที่ยวไปในตัวด้วย แต่การปั่นมันเป็นกีฬาที่เงียบเหงาที่สุดชนิดหนึ่ง ไม่มีการพูดคุยไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการพักครึ่งแล้วนั่งหยอกล้อกับเพื่อนฝูง ไปไกลแค่ไหนก็ต้องรู้ด้วยว่าจะปั่นกลับไหวหรือไม่ ผมไม่ซีเรียสเวลาเขียนไม่ออก ผมไม่เคยเร่งงานของผม ทุกชิ้นที่ออกมามันจะต้องดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เท่าที่จะพยายามทำได้
- เวลาว่างนอกจากเขียนหนังสือแล้วทำอะไรเป็นงานอดิเรกบ้าง
การเขียนหนังสือของผมเป็นงานหลักอย่างหนึ่งครับไม่ใช่งานอดิเรก เป็นงานที่ผมรักและภูมิใจเสมอ และการเล่นอินเทอร์เนตก็ไม่ใช่งานอดิเรก เพราะมันเป็นการเล่น ส่วนการเล่นกีฬาคิดว่าไม่น่าจะใช่งานอดิเรกนะครับ ชีวิตประจำวันของผมมันเป็นบล็อกเซท ตื่นเช้าเตรียมของขาย ไปจ่ายตลาด ขายหมี่ เก็บร้าน เย็นประมาณ ๕ โมงเย็นก็เล่นกีฬาไม่ก็เล่นอินเทอร์เนตหรืออาจจะพักผ่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง กินข้าวเย็น ๖ โมง หรือ ๑ ทุ่ม เสร็จก็ประมาณ ๒ หรือ ๓ ทุ่ม ละเลียดเบียร์ไปด้วยในมื้อนั้น กลับบ้านก็เปิดเนตเล่นอีกครั้ง ๔- ๕ ทุ่มก็นอน เพื่อตื่นเช้าอีกวัน มันเป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันๆเป็นปีๆ และจะยังคงเป็นไปอีกนานเท่านานเลยครับ
- เป้าหมายในการเป็นนักเขียน
เขียนต่อไป
- ตอนนี้เขียนอะไรอยู่บ้าง
ความเรียงให้กับสมิหลา ไทม์ ที่เพิ่งติดต่อมาให้พื้นที่ในเดือนธันวาคมนี้ มีเรื่องสั้นที่วางโครงไปได้ครึ่งเรื่อง มีบทกวีซีรีย์อีกชุด เป็นซีรีย์บทกวีดิจิตอล เรื่องราวของอินเทอร์เนต เขียนมันทุกอย่าง ดีไม่ดีไม่รู้ รู้แต่ว่าผมต้องเขียน อย่างน้อยเพื่อฝึกทักษะตัวเอง ทักษะเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สำคัญมาก สำคัญที่สุดในการเป็นนักเขียน โรนัลดิลโญต้องเดาะบอลทุกวันเพื่อฝึกทักษะการครองบอลของเขาฉันใด นักเขียนก็ต้องจับปากกาทุกวันเพื่อฝึกทักษะตนเองครับ การซ้อมเป็นหัวใจหลักของทุกๆสิ่ง เพราะเมื่อเราลงสนาม สิ่งแรกที่เราได้เลยคือความมั่นใจ ทุกนัดที่เบคแฮมลงเล่น เขามีความมั่นใจยิ่ง เพราะเขาฝึกซ้อมมาตลอดเวลา ส่วนผลออกมาจะเป็นยังไงก็ต้องมาดูกันอีกที เหมือนบัลลัคทำเกมได้ดีมากน้อยแค่ไหนนั้น มันมีองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมายร่วมอยู่ด้วย
- ปีหน้าซีไรต์เป็นรอบกวีคิดจะส่งผลงานของตัวเองเข้าร่วมด้วยไหม
อยากส่งครับ
- ฝากถึงคนอยากเป็นนักเขียน
ก็ต้องเขียนกันไปล่ะครับ เขียนๆไปเถอะ ทางใครทางมัน คุณไม่สามารถเป็นนักเขียนที่คุณชื่นชอบได้หรอก มันไม่มีทางให้คุณเดินไปได้เลยแม้น้อย ทุกคนมีลายมือเป็นของตัวเอง มีสำเนียงส่วนตัว มีวิธีพูดของตน ต่อให้คุณมีความสามารถพิเศษที่จะร้องเพลงให้เหมือน ชาย เมืองสิงห์ ได้เพียงไรก็ตาม แต่คุณก็ไม่ใช่ ชาย เมืองสิงห์ แน่ๆ
- มีอะไรอยากเพิ่มเติมอีกไหม?
ไม่มีครับ พูดไปหมดแล้ว อ้อ ตามอ่านงานของผมได้ที่เวบนะครับ www.softganz.com/meeped/index.php เป็นเวบที่คุณหมี ภานุมาศ เพื่อนผู้น่ารักของผมแบ่งพื้นที่ให้และดูแลให้อยู่ครับ แล้วหากใครอยากมีพื้นที่เก็บงานของตน ผมก็ขอเชิญชวนที่นี่ครับ http://www.bookgang.net/
บริษัท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด
413/26 ถนนอรุณอมรินทร์ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 Tel. 0-2434-1347, 0-2435-5789 Fax. 0-2434-6812
// ถ้าตามลิงค์ไปจะมีรูปด้วยครับ
Relate topics
- บทสัมภาษณ์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของมาเลเซีย
- บทวิจาร์ณโลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย สุภาพ พิมพ์ชน
- บทสัมภาษณ์ต่อปัญหาภาคใต้
- มี ก อ ง วั ส ดุ บ น ไ ห ล่ ท า ง
- การสร้างสรรค์วรรณกรรมในภาวะวิกฤติสังคมไทย: บทวิเคราะห์กรณีศึกษาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ,บ้านทรายทองและปีศาจ
- สุดดิน เพลงปลุกใจที่ยังอยู่ในความทรงจำ
- บทสัมภาษณ์ใน วารสารโรงเรียนนางรองพิทยาคม
- บทสัมภาษณ์ใน ศิลปวัฒนธรรม
- บทวิจาร์โลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย ภาคย์ จินตนมัย
- บทสัมภาษณ์ใน the nation.