บทสัมภาษณ์กับเวบประพันธ์สาส์น (หนังสือเล่มโปรด)
มนตรี ศรียงค์
งานของเสนีย์ เสาวพงศ์ไม่ได้ช่วยให้ผมกลายเป็นนักเขียนในทันที
โดย วิรุฬหกกลับ
มนตรี ศรียงค์ หันเหชีวิตมาเป็นกวี-นักเขียนได้ก็เพราะหนังสือของเสนีย์ เสาวพงศ์ เพียงสองเล่มเท่านั้น แม้มันไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันทีเมื่อหน้าสุดท้ายของหนังสือถูกอ่านผ่านตา ตัวละครและเรื่องราวในหนังสือกลับแล่นไปกระทุ้งความนึกคิดของผู้รับสารอย่างมนตรี ศรียงค์เข้าอย่างจัง ร่องรอยและการย่ำเดินที่แปลกเปลี่ยวเหล่านั้นต่างหากเล่าที่เฝ้ารอโอกาส สร้างวิธีคิดและผลักดันให้มนตรี ศรียงค์ อ่านๆๆ แล้วก็อ่าน จนถึงขั้นจับปากกาลองเขียนดูกับเขาบ้างง
เมื่อเราถามถึงประสบการณ์การอ่านของเขา
ผมนึกถึงวงการพระเครื่องเลยครับ ประมาณว่าพระรุ่นนี้คล้องแล้วมีประสบการณ์อะไรบ้าง แต่อ่านหนังสือคงไม่มีปาฏิหาริย์เช่นที่เป็นข่าว ประสบการณ์การอ่านมันจึงคงเป็นเพียงการเก็บทุกเม็ดของหนังสือแต่ละเล่ม แล้วกองถมพะเนินอยู่ในเบื้องลึกของเรา อ่าน ๑๐ เล่ม ๒๐ เล่ม อ่าน ๑๐๐ เล่ม ๑๐๐๐ เล่ม ทุกเม็ดของหนังสือทั้งเล่มมันตกตะกอนอยู่ในตัวเรา แล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นวิธีคิด วิธีคิดที่จะกำหนดพฤติกรรมของเรา หนังสือล้านๆเล่มก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอันใดให้เราได้หรอก มันไม่ใช่การถามตอบเป็นข้อๆว่าเมื่อเกิดปัญหาหนึ่งหนังสือเล่มใดจะช่วยบอกวิธีแก้ปัญหาให้ได้ แม้แต่หนังสือทางศาสนาก็ตามที ไม่เคยมีเล่มใดที่อ่านแล้วเรานิพพานได้เลย แต่ตะกอนที่นอนก้นอยู่นี่แหละ ที่เมื่อเกิดปัญหาใดขึ้นมา มันจะค่อยๆก่อตัวเป็นวิธีคิดให้เราจัดการเป็นระบบกับปัญหานั้น เหมือนทีปีศาจและความรักของวัลยาไม่ได้ช่วยให้ผมกลายเป็นนักเขียนในทันที แต่มันเป็นเม็ด ๒ เม็ดที่นอนตะกอนอยู่เบื้องลึกรอการพะเนินอีกหลายๆเม็ดของหนังสือที่เราย่อยแล้ว
สำหรับแนวหนังสือที่มนตรี ศรียงค์อ่านเขาบอกว่าอ่านได้ทุกแนวนอกจากแนวประโลมโลกย์
แนวที่ไม่ใช่ประโลมโลกย์ครับ นอกนั้นชอบอ่านทุกแนว แต่ประโลมโลกย์นี่ผมก็อ่านนะครับ เพียงแต่ไม่ได้ชื่นชอบมากนัก เมื่อ ๑๐ ปีก่อนผมเน้นเรื่องการเมือง สังคม แนวเพื่อชีวิต โดยเฉพาะงานเขียน วรรณกรรมของฝ่ายซ้าย ต่อมาก็คลี่คลายไปสู่แนวอื่นๆ
ครับมาดูกันว่าหนังสือเล่มไหนเป็น 5 เล่มในดวงใจของกวีหมี่เป็ด มนตรี ศรียงค์
ผมเป็นคนไม่ค่อยจำด้วยสิครับ และว่าไปแล้วมันมีเยอะมากที่เคยขนาดไปไหนก็หนีบเอาไปด้วย และปัจจุบันหนังสือของผมอยู่ในลังเหล็กที่ถูกกองถมทับด้วยข้าวของเครื่องใช้ในร้าน ไม่มีที่เก็บไม่มีห้องหนังสือไม่มีพื้นที่จะให้วางชั้นหนังสือเลยครับ ที่ยังพอให้หยิบมาอ่านได้ตอนนี้ก็เพราะเป็นเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เอาเป็นว่า ๕ เล่มนี้ผมยกเท่าที่ผมนึกออกนะครับว่าเล่มไหนบ้าง
๑- ไอ้เขี้ยวขาว แจ๊ค ลอนดอน เขียน สำนวนแปลของ อดิศร เทพปรีชา เรื่องราวของหมาป่าที่ชะตาให้มาผูกพันกับมนุษย์ พบความดีงามความเลวร้ายของมนุษย์มาอย่างเต็มที่ พบเห็นการกระทำอันป่าเถื่อนและสูงส่งของมนุษย์ สัญชาติญาณดั้งเดิมของมัน และความเชื่อของผู้เขียนที่ว่าความดีงามมันมีอยู่จริง ความดีงามที่จะสามารถสลายล้างสัญชาติญาณเถื่อนของสัตว์ป่าได้ราบคาบ และมันไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สัญชาติญาณของสัตว์ป่าเท่านั้น
๒- จอห์นนี่ไปรบ ของ ดอลตัน ทัมโบ แปลโดย มโนภาษ เนาวรังษี จอห์นนี่ไปรบเป็นเหรียญอีกด้านกับแนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ของ เอริช มาเรีย เรอมาร์ก สงครามโลกครั้งที่ ๑ สร้างความวอดวายแก่มนุษยชาติในยุคสมัยนั้นอย่างโหดร้ายทารุณ เหตุการณ์ด้านตะวันตกฯพูดถึงสงครามด้วยน้ำเสียงแสนเศร้า แต่จอห์นนี่ไปรบกลับให้ภาพที่เกรี้ยวกราดของความโหดร้ายนั้น เป็นความเกรี้ยวกราดอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ตัวละครเอกถูกสงครามทำให้ร่างกายพิการไปทุกส่วน ไม่มีส่วนไหนที่จะสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้เลย นอกจากการกะพริบตา ผมจำได้คร่าวๆนะครับว่ากะพริบตา ไม่แน่ใจว่าเปลือกตาของเขาได้ถูกทำลายไปไหม เขาไม่มีแขนขาไม่มีหูไม่มีปาก เหลืออยู่เพียงการสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ด้วยการส่งสัญญาณที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่มันเป็นความโหดร้ายอย่างยิ่งของคนคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
๓- ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ หนังสือแนวอุดมคติที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของไทยเล่มนี้ สร้างความตื่นตะลึงให้กับผมอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่มีอุดมการณ์อันมั่นแน่ว ฝ่าฟันและต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไม่ย่อท้อ ไคลแมกซ์ของเรื่องอยู่ที่การเผชิญหน้ากันระหว่างเขากับครอบครัวสูงศักดิ์ของสาวคนรัก การยืดอกอย่างทระนง การประกาศความเชื่อมั่นอันเปี่ยมอุดมคติ สำหรับผมในปี ๒๕๒๙ ๒๕๓๐ นั้นมันคืออะไรที่เหลือเชื่อ และปรารถนาจะเป็น ผมชอบทุกเล่มของเสนีย์ นี่เป็นนักเขียนในดวงใจของผมคนหนึ่งเช่นเดียวกับ ไม้ เมืองเดิม , จอห์น สไตน์เบค , หลู่ซิ่น , แมกซิม กอร์กี้ , มิฆาเอล เอนเด้ , และอีกหลายชื่อที่ตอนนี้นึกไม่ออก
๔- จินตนาการไม่รู้จบ ของ มิฆาเอล เอนเด้ จำชื่อคนแปลไม่ได้ และจำเนื้อหาของเรื่องไม่ได้เลย ด้วยอ่านมามากกว่า ๑๐ ปีแล้ว รู้เพียงว่านี่เป็นหนังสือเยาวชนที่เขียนให้ผู้ใหญ่อ่าน ออกแนวแฟนตาซี และมีอะไรๆให้ขบคิดมากมาย นี่เป็นเล่มที่ผมพยายามยัดเยียดให้ใครต่อใครที่ผมรู้สึกดีด้วยได้อ่าน
๕- กูคือนิสิตนักศึกษา ของสองกุมารสยาม สุจิตต์ วงษ์เทศกับขรรค์ชัย บุญปาน ด้วยภาษาสำนวนใกล้เคียงกับ ไม้ เมืองเดิม บทกวีของสองกุมารสยามนี้ทำให้ผมเชื่อว่าเราสามรรถใช้ถ้อยคำธรรมดาของภาษาพูดปกติของเราได้ในงานบทกวี และผมพยายามทำมัน
จากที่นี่ครับ
Relate topics
- บทสัมภาษณ์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของมาเลเซีย
- บทวิจาร์ณโลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย สุภาพ พิมพ์ชน
- บทสัมภาษณ์ต่อปัญหาภาคใต้
- มี ก อ ง วั ส ดุ บ น ไ ห ล่ ท า ง
- การสร้างสรรค์วรรณกรรมในภาวะวิกฤติสังคมไทย: บทวิเคราะห์กรณีศึกษาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ,บ้านทรายทองและปีศาจ
- สุดดิน เพลงปลุกใจที่ยังอยู่ในความทรงจำ
- บทสัมภาษณ์ใน วารสารโรงเรียนนางรองพิทยาคม
- บทสัมภาษณ์ใน ศิลปวัฒนธรรม
- บทวิจาร์โลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย ภาคย์ จินตนมัย
- บทสัมภาษณ์ใน the nation.