บทสัมภาษณ์ในสกุลไทย

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @3 ต.ค.50 17.15 ( IP : 125...87 ) | Tags : บทสัมภาษณ์

มนตรี ศรียงค์ "กวีซีไรต์หมี่เป็ด" คนเล็ก ที่ยิ่งใหญ่ โดย  ศรัณยา
ฉบับที่ 2764 ปีที่  53 ประจำวัน  อังคาร ที่  9 ตุลาคม  2550



มนตรี ศรียงค์ "กวีซีไรต์หมี่เป็ด" คนเล็ก ที่ยิ่งใหญ่




มนตรี ศรียงค์ คุ้นเคยชื่อนี้มานานตามหน้านิตยสารแนวการเมือง จนกระทั่งมาถึงวันประกาศผลรางวัลซีไรต์ ประจำปี ๒๕๕๐ ชื่อ มนตรี ศรียงค์ ได้รับการตอกย้ำอย่างแจ่มชัดมากขึ้น โดยเฉพาะผลงานกวีนิพนธ์เล่มล่าสุด "โลกในดวงตาข้าพเจ้า" ที่ส่งให้เขากลายเป็นกวีซีไรต์คนปัจจุบัน หากในเนื้องานเมื่อพิจารณาดู นอกจากการเลือกใช้ถ้อยคำภาษาที่ทันสมัยสละสลวย ถูกตาถูกใจคณะกรรมการผู้ตัดสินแล้ว มนตรียังได้ชื่อว่าเป็นกวีซีไรต์ผู้ไม่ธรรมดา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าการมาถึงของเขานั้น ถือเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับมิติวรรณกรรม ขณะเดียวกันชื่อเสียงที่เกิดขึ้นพร้อมฉายา "กวีซีไรต์หมี่เป็ด" ก็ดังขจรขจายไปทั่ว อาจกล่าวได้ว่า "ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์" ซึ่งตั้งอยู่บนละแวกถนนละม้ายสงเคราะห์ภายในตัวเมืองหาดใหญ่ คืออัตลักษณ์หนึ่งของชีวิตเขา เนื่องจากอีกสถานภาพหนึ่ง กวีหนุ่มเลือกที่จะเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายหมี่เป็ด อาชีพที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้อพยพตัวเองมาตั้งรกรากสร้างครอบครัวอยู่ในจังหวัดสงขลา         ชื่อ "ถนนละม้ายสงเคราะห์" ได้ถูกเอ่ยถึงปรากฏอยู่ในงานเขียนบทกวี "โลกในดวงตาข้าพเจ้า" รวมทั้งการถ่ายทอดให้เห็นภาพการทำเส้นบะหมี่ด้วยเรี่ยวแรงของวัยหนุ่ม โดยผ่านอักษรสำนวนที่เปี่ยมอารมณ์สะท้อนความแง่งามในอาชีพ ทำให้เราอยากจะเดินทางไปเยี่ยมเยือนเขาถึงถิ่น อยากเห็นถนนละม้ายสงเคราะห์ให้ประจักษ์แก่สายตา พร้อมกับนั่งชิมรสชาติบะหมี่ที่เขาลงแรงทำเอง และสำคัญกว่านั้น เราอยากพูดคุยและเก็บภาพชีวิตกวีซีไรต์ในมาดของพ่อค้าหมี่เป็ดอันแท้จริง
        เช้าตรู่วันหนึ่ง เราจึงเดินทางด้วยเครื่องการบินไทย จากสนามบินหาดใหญ่มุ่งสู่ "ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์" จำได้ว่าใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ขณะที่นั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย ได้ยินเสียงกึงๆดังออกมาจากด้านหลังร้าน ภายหลังถึงได้รู้ว่านั่นคือเสียงการทำเส้นบะหมี่สด ซึ่งเขายังคงรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้ แม้ว่าบิดาจะเสียชีวิตไปแล้ว ครู่ใหญ่ต่อมา เราก็ได้เห็นท่าทางการลวกเส้นบะหมี่ของกวีซีไรต์อย่างคล่องแคล่วชำนาญการ โดยมีพี่สาวเป็นลูกมือช่วยเติมเครื่องอยู่เคียงข้าง
        หลังจากทีมงานอิ่มมื้อเช้ากันเรียบร้อย มนตรี ศรียงค์ จึงต้องผละจากงานลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าร้าน มาให้เวลากับการสัมภาษณ์ ช่วงระหว่างนั้นพี่สาวเป็นผู้รับหน้าที่ทั้งหมดไปแทน เพราะฉะนั้น หนึ่งชั่วโมงเต็มของการสัมภาษณ์ จึงผสมผสานบรรยากาศของร้านค้า แทรกด้วยเสียงสั่งก๋วยเตี๋ยว เสียงเรียกเก็บเงินจากลูกค้า หรือแม้กระทั่งเจ้าตัวที่ให้สัมภาษณ์อยู่ ในบางช่วงก็ต้องขอเว้นจังหวะ โทรศัพท์สั่งแก๊ส หรือไม่ก็เป็นฝ่ายรับโทรศัพท์จากสื่อต่างๆ ในฐานะที่กำลัง "ฮ็อต" ด้วยผลพวงจากรางวัลกวีซีไรต์ที่เพิ่งได้รับการประกาศเกียรติคุณมาหมาดๆ -อยากให้คุณเล่าถึงครอบครัว โดยเฉพาะ "เตี่ย" กับ "แม่" และสายเลือดกวีที่มีอยู่         เตี่ยเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ เคยเดินทัพทางไกลกับเหมาเจ๋อตุงมา เตี่ยเสียไปเมื่อ ๔ ปีก่อน ในอายุ ๙๓ ปี เตี่ยจะเป็นคนที่มีฝีมือในการเขียนด้วยพู่กันจีนที่สวยมาก เคยมีการแข่งการใช้พู่กันจีนในหมู่พรรคพวกของเตี่ยที่หาดใหญ่ จะเป็นเตี่ยที่ชนะเลิศการใช้พู่กันจีน และท่านจะเขียนบทกวีภาษาจีนติดอยู่ข้างฝา ตรงนี้เคยมีชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ที่เป็นลูกค้ามาที่ร้านแล้วขอซื้อบทกวีบนกระดาษขาวทองนั่น แต่เตี่ยมักจะม้วนให้ลูกค้าไปฟรีๆ         ส่วนสายของแม่ ผมมานึกขึ้นได้ว่า แม่ก็มีเชื้อสายของทั้งหนังตะลุงทั้งมโนราห์ ตามีเชื้อสายของหนังตะลุงอยู่ แล้วก็เคยหัดเชิดหนังตะลุงเมื่อตอนเล็กๆ แต่ว่าท่านไม่ได้เอาดี ยายก็มีเชื้อสายของมโนราห์อยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้เอาดี
        ส่วนความเป็นกวีของผม ก็คือผมได้รับตรงนี้ตกทอดจากเตี่ย แต่ว่ามันจะเป็นโดยดีเอ็นเอจริงหรือไม่ อันนี้ผมคิดว่าเป็นแค่สำนวน ผมไม่เชื่อว่าลักษณะภาวการณ์ใดๆจะสามารถเกิดขึ้นได้โดยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม มันเป็นเพียงแค่ภาวการณ์ ฉะนั้น สิ่งที่หล่อหลอมผมมาจริงๆจึงเป็นเพลงกล่อมเด็กที่แม่ร้องเรือ ภาษาใต้เขาจะเรียกว่าเพลงร้องเรือที่แม่ร้องกล่อมผมมาตั้งแต่เด็ก เพลงลูกทุ่งเก่าๆ เพลงลูกกรุงเก่าๆ วรรณคดีบางตอนบางบทที่แม่เคยท่องให้ฟัง บทอาขยานที่เคยท่องตอนเรียน นิตยสารที่อ่านเมื่อครั้งวัยรุ่น หนังสือทุกเล่มที่ผ่านเข้ามา จนกระทั่งได้เริ่มรู้จักวรรณกรรมเมื่อได้อ่าน ความรักของวัลยา และ ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ทั้งหมดนี้หล่อหลอมเป็นก้อนอะไรสักก้อนหนึ่งอยู่ในจิตใจ แล้วผมก็สื่อกับผู้คนด้วยการเลือกใช้บทกวี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกวีโดยสายเลือด โดยดีเอ็นเอ หรือโดยเบ้าหลอม ผมคิดว่ามันเป็นแค่สำนวน -คุณเชื่อเรื่องพรสวรรค์มั้ย         ไม่มีในโลกนี้ คำว่าพรสรรค์ ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้ -แล้วพรแสวงล่ะ         ถ้าเป็นศัพท์พูดให้ดูสวย ก็โอ.เค.อยู่ ผมมีแต่คำว่าความพยายามแล้วพยายามเล่า ลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย การรักในสิ่งที่ทำ การเอาจริง การตั้งใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ผมไม่เชื่อในเรื่องพรสวรรค์ ไม่เชื่อในเรื่องดวง ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่เชื่อในอะไรต่างๆที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ ผมเชื่อแต่ในสิ่งที่มนุษย์อธิบายได้ -การเขียนกวีของคุณมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่         การเขียนกวีของผม ความจริงมันเริ่มมาจากการอ่านอย่างหนักหน่วง อ่านมานานตลอดช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาก่อนหน้าจะเป็นนักเขียนนะครับ ผมผ่านการอ่านอย่างหนักหน่วงมา จนถึงวันหนึ่งผมรู้สึกว่าผมมีเรื่องจะคุยกับสังคม กับผู้คน ผมจึงเลือกการเขียนแทนการพูดด้วยปาก เพราะการพูดด้วยปากบางครั้งเสียงเราเขาไม่ได้ยิน เราตัวเล็กเกินไป หรือว่าการพูดด้วยปากมันขาดการรัดกุม ขาดความรอบคอบ ไม่เหมือนการเขียน เพราะการเขียนเราสามารถตรวจทานได้ ผมจึงเลือกสื่อกับผู้คนด้วยงานเขียน และเลือกที่จะสื่อกับผู้คนด้วยแนวบทกวี เพราะชอบในท่วงทำนอง ในจังหวะ ในเมโลดี้
-ผลงานต้นแบบหรือกวีที่ชื่นชม         ผมพูดถึงพี่แก้ว ลายทอง บ่อยๆในเวลาให้สัมภาษณ์ ผมชอบในน้ำเสียงของพี่แก้ว ลายทอง เหมือนกับเราฟังเพลงร็อค บทกวีของพี่แก้ว ลายทอง ให้ความรู้สึกเหมือนเราฟังเพลงร็อคในยุค 70 ซึ่งมันสวยในเมโลดี้ และมีความเร็วในเนื้อหา มีความอลังการของลูกนิ้วในเวลาโซโล่กีตาร์ บทกวีของพี่แก้ว ลายทองเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในขณะที่ผมอ่านบทกวีที่เป็นบทเพลงของน้าหงา ผมรู้สึกว่าผมกำลังฟังเพลงบลู เพลงของน้าหงาเป็นบทกวีนะครับ หรือเวลาที่ผมอ่านบทกวีของ อาจารย์สถาพร ศรีสัจจัง ก็คือผมกำลังฟังเพลงโฟล์คสวยๆ ในท่วงทำนองง่ายๆ เหมือนฟังเพลงของ บ็อบ ดีแลน หรือ แคท สตีเวน
        ฉะนั้น การที่ว่าผมจะมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นต้นแบบคงยาก หรือยึดเอาแนวทางการเขียนของใครมาเป็นต้นแบบนั้นไม่ใช่ ผมเชื่อว่างานเขียนของผมมีอัตลักษณ์ที่เป็นตัวของผมเองอยู่สูงพอควร -อัตลักษณ์ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร         อัตลักษณ์ที่มีความเป็นตัวของผมเอง มีน้ำเสียงของผมเอง ถ้าผมเล่นเพลงร็อค ก็คือลูกนิ้วการโซโล่กีตาร์มันจะต้องเป็นแบบยูเรีย ฮีป ริชี่ แบล็คมอร์ เดฟ เล็พพาร์ด ผมเชื่อมั่นว่าผมมีลูกนิ้วที่เป็นอัตลักษณ์อยู่ - นั่นหมายความว่า คุณมองบทกวีกับบทเพลงในสายตาที่ไม่แตกต่างกัน         ไม่แตกต่างกัน เป็นศิลปะแขนงเดียวกัน เพียงแต่ว่าบทเพลงมันมีองค์ประกอบอื่น และสามารถสื่อได้ถึงผู้คนมากกว่าบทกวีเยอะ ผมเป็นคนที่ฟังเพลงเยอะมาก โดยเฉพาะเพลงร็อคยุค 70 ยุค 80 โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่งเก่าๆย้อนหลังกลับไป ผมฟังเยอะมาก ปัจจุบันนี้รายการวิทยุที่เปิดเพลงลูกทุ่ง รายการใหญ่ที่สุด ได้ขอยืมเทปคาสเซ็ทท์เพลงลูกทุ่งเก่าๆที่ผมมีที่ผมได้สะสมอยู่หลายร้อยม้วนด้วยกัน เพื่อไปแปลงเป็นไฟล์เอ็มพี ๓ เพื่อจะเปิดในรายการ เพราะมันไม่สามารถหาซื้อได้อีกแล้ว เนื่องจากเพลงเหล่านี้ไม่มีขายแล้ว เป็นเพลงลูกทุ่งยุคเก่ากับยุคกลางนะครับ
        อีกครั้งหนึ่งเพื่อนของผม บัญชร วิเชียรศรี ในนาม "โอเลี้ยงเสียงหล่อ" เป็นนักจัดรายการเพลงลูกทุ่งก็เคยคุยกับผมเพื่อเอาไปเป็นข้อมูลในการเปิดเพลงของเขา แต่ระยะหลัง ๑๐ ปีมานี้ ผมไม่ค่อยได้ฟังอย่างหนักหน่วงเหมือนเมื่อก่อน
          ทั้งการฟัง การอ่าน การเห็น การดู การได้ยิน อายตนะเหล่านี้มันสามารถเป็นวัตถุดิบ เป็นข้อมูล เป็นเงื่อนไขปัจเจก และเป็นปัจจัยสำคัญในการที่ก่อเกิดนักเขียนขึ้นมาสักคนหนึ่ง -จากที่คุณเล่าว่าได้ผ่านการอ่านมาอย่างหนักหน่วง อะไรที่ทำให้สนใจการอ่านมากขนาดนั้น         ก็จากวรรณกรรม ๒ เล่มแรก ความรักของวัลยา และ ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ที่ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เพื่อนผมเอามาให้ยืมอ่านเมื่อสมัยเรียนรามฯ จากนั้นผมก็เข้าร้านหนังสือ และหาซื้อหนังสืออ่านมาโดยตลอด อ่านอย่างหนักด้วย
        ต่อจากนั้นผมก็เริ่มรู้จักนาม สุจิตต์ วงษ์เทศ สุภาว์ เทวกุลฯ คมทวน คันธนู เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และใครต่อใครอีกมาก เพราะผมหาหนังสือมาอ่านอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มรู้จักผลงานของนักเขียนต่างประเทศนาม หลู่ซิ่น แมกซิม กอร์กี ดอสโต เยฟสกี้ ตอลสตอย ผมอ่านงานเขียนหลากหลายไปเรื่อยๆของทั้งนักเขียนอเมริกา อังกฤษ ยุโรป แต่งานเขียนของแถบละตินอเมริกา แอฟริกา รู้สึกว่าจะมีให้เลือกอ่านน้อยมาก         ที่ผมอ่านมาทั้งหมดก็จะเป็นแนววรรณกรรมเพื่อชีวิตออกไปทางฝ่ายซ้าย ยิ่งถ้าเป็นซ้ายจัด คอมมิวนิสต์ผมก็อ่านมาพอสมควร ความจริงผมอ่านหลากหลาย แต่จะเน้นหนักที่แนวอย่างนี้มากกว่า -แต่ก่อนหน้านั้น คุณยังไม่ได้สนใจในเรื่องของการอ่านมากมายนัก
        ก็ชอบอ่าน แต่ไม่ได้เลือกแนว คือเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีหนังสือแนวอุดมคติอย่าง 2 เล่มนี้ในโลกนี้ เพราะที่ผ่านมา ผมเคยอ่านนิตยสารวัยหวาน เธอกับฉัน ในสมัยมัธยมต้น อ่านพลนิกรกิมหงวน ในสมัยที่เรียนชั้นประถม อ่านนิยายรักนักศึกษา ของ ศุภักษร อ่านทุกอย่างมาเรื่อย -และเมื่อได้มาพบกับวรรณกรรมแนวอุดมคติทำให้รู้สึกกับโลกของการอ่านอย่างไรบ้าง
        ใน ปีศาจ ฉากที่ สาย สีมา ได้รับเชิญจากคุณพ่อของคุณรัชนี หญิงสาวของ สาย สีมา เป็นการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะท่ามกลางญาติพี่น้องของฝ่ายคุณรัชนี คุณพ่อของคุณรัชนีเชิญ สาย สีมา ชายหนุ่มผู้ยากจนร่วมโต๊ะอาหาร ในขณะที่คุณพ่อของคุณรัชนีเป็นผู้สูงศักดิ์ เพื่อที่จะเหยียดหยาม เหยียดชนชั้น ฉากที่สาย สีมา นั่งฟังนิ่ง จนกระทั่งคุณพ่อของคุณรัชนีพูดจบ และ สาย สีมา ลุกขึ้นประกาศกลางโต๊ะอาหาร ฉากนี้ทำให้ผมนิ่งอึ้ง แล้วคิดว่าเออหนอ คนเรามันก็เท่ากัน มนุษย์เรามันควรที่จะเท่าเทียมกันเช่นที่ สาย สีมา กำลังพยายามบอกพวกเราว่าคนเท่ากันทุกคน         ผมไม่เคยเจอความคิดนี้ ผมเติบโตมาในสังคมเก่า สมัยยังเด็กที่คอมมิวนิสต์ยังอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ก็อยู่ไม่ไกลจากหาดใหญ่นี่แหละครับ ตรงผาดำ เราได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์มากมาย และเราก็ได้รับการปลูกฝังมาจากผู้ปกครอง จากผู้ใหญ่ในสังคมว่าคอมมิวนิสต์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อมองกลับไปจากสายตาของ สาย สีมา บางครั้งผมคิดว่าจริงๆแล้วเขาบอกเราเพื่อจะคงความเหยียดชนชั้นของเราไว้หรือเปล่า เขากดเราไว้เพื่อให้ปกครองง่ายหรือเปล่า
        เมื่อผมอ่านเยอะ และรู้สึกว่าอยากจะพูดคุยกับผู้คนบ้าง ก็เลยเริ่มพูดคุยกับผู้คนด้วยการเขียน โดยใช้บทกวีเป็นตัวเลือก -เขียนแล้วได้ส่งไปที่ไหน         สมัยแรกๆช่วงมัธยมต้นเขียนแล้วเก็บไว้ เพราะว่าอายคน ผู้ชายมันไม่ควรเขียนกลอน ผู้ชายควรวิ่งเล่นอยู่กลางสนาม เตะบอล ตีกัน แต่ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เลยเขียนกลอนจีบสาว เขียนใส่ในสมุดเก็บไว้ ที่สุดแล้วก็หายไป เสียดาย         ความสนใจในขณะนั้น ผมสนใจเพียงแค่โลกอันกว้างใหญ่ ความตื่นตาตื่นใจโลกใบใหญ่ สนใจเพศตรงข้าม สนใจที่จะมีพรรคพวกเพื่อนฝูง โลกเป็นโลกที่สดใส ร่าเริง ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ถ้าเป็นเด็กเพียงอายุ ๑๔-๑๕ ปีเขียน งานก็มักจะออกมาสดใสร่าเริง
- จนกระทั่งเมื่อไหร่ที่รู้สึกมั่นใจ กล้าที่จะส่งงานกวีที่ตัวเองเขียนไปตามหน้านิตยสาร         จนกระทั่งช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมเขียนดีหรือไม่ดี ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่ามันทำกันเกินไปแล้ว ผมอยากจะบอกคนไทยว่าทหารกลุ่มนั้นมันทำเกินไปแล้วนะ ผมตัดสินใจส่งงานของผมไปที่สยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ ตอนนั้นพี่ไพลิน รุ้งรัตน์ เป็นคนคุมคอลัมน์นี้อยู่ งานของผมไม่ผ่าน แต่มีบัญชรเล็กๆของพี่อี๊ด-ไพลินบอกว่าได้รับแล้วนะ ซึ่งอันนี้เป็นกำลังใจใหญ่หลวง ผมก็เลยคิดว่าเราควรจะพูดกับคนไทยคนในประเทศนี้ให้มากกว่าเดิม ผมก็เขียนต่อไป ส่งไปตามนิตยสารต่างๆ ได้ลงมากที่สุดก็ที่อาทิตย์ข่าวพิเศษ ฐานสัปดาห์การเมือง ดอกเบี้ยรายสัปดาห์การเมือง ต่อมา อาทิตย์ข่าวพิเศษปิดตัว ฐานปิดตัว ดอกเบี้ยปิดตัว ก็ยังสงสัยอยู่ว่าตัวเองเป็นตัวการให้เขาปิดตัวหรือเปล่า (หัวเราะ)
-พอผลงานได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นหรือไม่         ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น และยิ่ง นายพรานผี หรือ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ มีการวิจารณ์ด้วย ผมคิดว่าใช่เลยนะ ที่นี่เราจะต้องยึดหัวหาดเอาไว้ เราจะได้พัฒนาฝีมือเรา และได้รู้ว่าการเขียนของเรายังบกพร่องตรงไหนอย่างไร วิธีคิดและทัศนะของเรานั้นถูกต้องแล้วหรือเปล่า -ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เคยคิดมั้ยว่ามันจะมาถึงวันนี้         ไม่เคย ตั้งแต่งานชิ้นแรกที่ผมเขียนจนถึงชิ้นล่าสุด ไม่เคยคิดเขียนเพื่อจะเอารางวัล ผมเขียนเพียงแค่สนองตัวเอง รับใช้ตัวเองว่ามีเรื่องอยากพูดนะ พร้อมพูดหรือยัง โอ.เค.ลงมือเขียน ไม่มีอะไรมากเกินกว่านี้ ผมเคารพการทำงานของตัวเองด้วย จนกระทั่งสะสมงานมากพอ ก็ส่งให้สำนักพิมพ์สามัญชนพิจารณารวมเล่ม แล้วมันมาถึงช่วงของการประกวดซีไรต์ เขาก็ส่งงานของผมเข้าประกวดด้วย -ทราบว่า "เวียง วชิระ บัวสนธ์" เป็นบรรณาธิการที่คัดเลือกงานของคุณรวมเล่ม และทำให้เกิดเอกภาพที่เด่นชัดขึ้น         ใช่ เป็นหน้าที่ของ บ.ก.ที่ทำได้ดีมาก ผมรู้สึกพอใจมากครับกับ บ.ก.คนนี้ พูดคุยกันตลอด พี่เวียงโทร.มาหาผม เฮ้ย มนตรีลองรวบรวมงาน จัดมาให้ดูสัก ๓๐-๔๐ ชิ้นซิ ผมก็จัดไป พี่เวียงก็ติดต่อมาอีก มนตรี ชิ้นนี้พี่ไม่เอาได้มั้ย ผมก็ถาม ทำไมละพี่ แกก็อธิบายเหตุผลให้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ผมขอใส่ชิ้นนี้แทนชิ้นที่พี่ตัดออกได้มั้ย แกก็ถามมา ทำไมวะ ผมก็ได้อธิบายไป คือระหว่างพี่เวียงกับผม เราจะโทร.คุยกันในเรื่องงานอยู่เรื่อยๆ         ผมเบิกค่าเรื่องมาก่อนที่หนังสือจะออก และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสือจะได้ตีพิมพ์มั้ย ผมเบิกมาสองหมื่นบาท ตอนนั้นผมช็อตเงิน พี่เวียงก็โอนเงินมาให้ ค่าลิขสิทธิ์ตกอยู่ที่หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยบาท ผมถามพี่เวียงว่าผมต้องทอนมั้ย แกบอกว่าให้มึงไว้กินเหล้า (หัวเราะ) โดน ผมรู้สึกโดนมาก พี่เวียงดูแลน้องๆนักเขียนดี พยายามเตือนอยู่เสมอ ให้สติแก่น้องๆ -ยังติดใจอยู่ว่าเพราะอะไรสมัยหนึ่งคุณจึงสนใจงานวรรณกรรมแนวอุดมคติและงานเขียนที่สะท้อนแนวความคิดฝ่ายซ้ายมากเป็นพิเศษ         มีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ คือ ๑๔ ตุลา ๑๖ กับ ๖ ตุลา ๑๙ สองเหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้จักช่วงประวัติศาสตร์การเมืองยุค ๒๔๗๕ รู้จักชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์ รู้จัก เปลื้อง วรรณศรี ประกอบกับที่ผมมีโอกาสได้เรียนรามฯด้วย ค่อยๆเรียนรู้เรื่อง ๑๔ ตุลา กับ ๖ ตุลา และกลับไปค้นคว้าศึกษาหาข้อมูลมาอ่านทั้งที่เป็นเรื่องราวและปากคำทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้รู้จัก จิตร ภูมิศักดิ์ คาร์ล มาร์กซ์ เหมาเจ๋อตุง เช กูวารา และใครต่อใครอีกหลายคน
-เมื่อสนใจอ่านงานประวัติศาสตร์การเมืองลักษณะนี้ 'เตี่ย'ว่าอย่างไรบ้าง         เตี่ยก็ไม่ว่าอะไร ท่านมองผมอยู่เงียบๆ เตี่ยผมเคยเดินทัพทางไกลกับเหมาเจ๋อตง แต่แปลกท่านไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวตรงนั้นมากนัก ที่พูดอยู่บ่อยคือเรื่องการทำอาหาร เตี่ยเป็นกุ๊กฝีมือดี ท่านพยายามสอนผม ผมก็ไม่เอา ถ้าผมสนใจ ผมสามารถเปิดร้านอาหารจีนได้อีกร้านหนึ่งเลย
        เตี่ยเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมาก ผมได้วิชาจากเตี่ยมาเพียงอย่างเดียว คือวิธีการทำขาหมูพะโล้ ซึ่งผมมักจะทำในเทศกาลวันไหว้วันสารทจีน ความจริงผมน่าจะได้วิธีทำปลาจะละเม็ดนึ่งบ๊วย และอาหารจีนต่างๆ ซึ่งสมัยก่อนเตี่ยจะทำเสมอ นอกจากอาหารจีนแล้ว เตี่ยยังทำยาจีนด้วย ท่านเรียนรู้เรื่องการทำยาจีนไว้เยอะ ตอนนี้ที่ผมได้สูตรมาจากเตี่ย คือสูตรการทำยาดองแก้ปวดเมื่อยร่างกาย เป็นสูตรที่ตกทอดมาจากเหมาเจ๋อตุง - 'เตี่ย' ลี้ภัยมาจากเมืองจีนหรือคะ         ท่านเป็นทหารประชาชน ช่วงนั้นแพ้สงคราม จึงถูกจับ แล้วถูกปล่อยตัวที่สิงคโปร์ ท่านก็เดินทางไปเรื่อยๆ จากสิงคโปร์มามาเลเซียเข้าประเทศไทย สุดท้ายท่านก็มาตั้งรกรากสร้างครอบครัวอยู่ที่หาดใหญ่
        เตี่ยเกิดมาเพื่อค้าขาย เพื่อเป็นพ่อค้าโดยเฉพาะ เป็นพ่อค้าในลักษณะที่พ่อค้ารุ่นก่อนไม่ใช่พ่อค้าแบบทุนนิยมสมัยใหม่ นั่นคือการค้าที่ยังเอื้อต่อชุมชน และมีมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์อยู่ ในงานศพเตี่ยมีคนมาร่วมงานศพหลายคนมากๆที่เราไม่รู้จักเลย สืบสาวไปทำให้รู้ว่าเป็นลูกค้าในสมัยที่เตี่ยยังค้าขายอยู่ และพูดคุยสนิทสนมกันจนกลายเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง บางคนก็เป็นคนแปลกหน้าเป็นคนอื่นที่รู้สึกผูกพันกับเตี่ย บางคนเป็นลูกค้าที่มากินก๋วยเตี๋ยวร้านเตี่ยแล้วจ่ายตังค์ ที่คบหากันร่วม ๓๐-๔๐ ปี ก็มาร่วมในงานศพเตี่ย มันเป็นการค้าการขายที่ทุนนิยมสมัยใหม่ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จริง เพราะการค้าแบบทุนนิยมสมัยใหม่มักจะกีดกันมนุษย์ออกจากมนุษย์ด้วยกัน ด้วยเม็ดเงิน -สำหรับตัวคุณเอง ได้ยึดมั่นการเป็นพ่อค้าแบบท่านด้วยหรือเปล่า         ผมพยายามผสมผสานกัน ผมก็มีเพื่อนฝูงมากมายที่มาจากการค้าขาย ขณะเดียวกันผมก็ได้นำการค้าสมัยใหม่เข้ามาช่วยในเรื่องการดูแลระบบของร้าน รวมทั้งเรื่องการจัดเก็บต่างๆให้เป็นระบบ -นอกจากนั้น ในเรื่องภูมิปัญญาของความเป็นพ่อค้าที่ได้ซึมซับมาละคะ         มันเป็นการเรียนรู้จากวิธีการทำงานของเตี่ย และอีกทางหนึ่งการได้รับการสั่งสอนโดยตรงจากปากของเตี่ย การเรียนรู้วิธีการทำงานของเตี่ยก็เป็นปรัชญาหนึ่ง ซึ่งผมต้องย่อยเอาเอง ขณะที่การเรียนรู้จากคำสั่งสอนของเตี่ยเป็นการกลืนทั้งก้อนที่เตี่ยย่อยมาแล้ว มันซึมซับ ยังไงก็มันก็ต้องซึมซับ เพราะเห็นอยู่ทุกวันกรอกหูอยู่ทุกวัน แต่ได้มากได้น้อยเพียงใดนั้น ผมไม่อาจประเมินตัวเองได้ มันต้องใช้สายตาคนอื่นประเมิน         อย่างที่ผมเห็น เตี่ยเกิดมาเพื่อเป็นคนทำงานโดยแท้ ทุกลมหายใจของเตี่ยคืองานทั้งนั้น เอาอย่างนี้ผ้าเช็ดโต๊ะ ถ้าเตี่ยซักเอง เราสามารถเอามาเช็ดหน้าได้เลย นี่คือวิธีการทำงานของเตี่ย
        ผมเรียนรู้ว่าการทำงานของเตี่ย มันสร้างความสุขขึ้นมาได้ยังไง ความสงสัยว่าเตี่ยมีความสุขจากการทำงานเป็นพ่อค้านี้ได้อย่างไร มันค่อยๆคลี่คลายคำตอบออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่เห็นแขกในงานศพของเตี่ย คนจีนในยุคสมัยนั้น เป็นชนชั้นสองที่ถูกกีดกันและถูกเหยียดหยามเรื่องเชื้อชาติจากคนในสังคมพอควร โดยเฉพาะคนจีนที่มีอาชีพค้าขายก๋วยเตี๋ยวจะถูกดูหมิ่นดูแคลนอย่างถึงที่สุด แต่เตี่ยก็ไม่สนใจ เตี่ยบอกผมว่าถ้าลูกค้าเข้าร้านมาแล้วถุยน้ำลายใส่หน้าให้อดทนไว้ เราต้องอดทน แต่ถ้าเป็นผม ใครถุยน้ำลายใส่หน้าผม ผมต่อย เพราะผมไม่ใช่เตี่ยนี่ ผมเป็นคนที่ความอดทนต่ำ ตอนวัยรุ่นนะ แต่ความไวของมือกับเท้ามันสูง (หัวเราะ) ความไวของปากก็โอ.เค.อยู่ เตี่ยคงรู้สันดานผมดี ซึ่งตอนนี้ผมกลับใจเย็นมาก -จากที่เคยเล่าไว้ว่า 'เตี่ย' พยายามเคี่ยวเข็ญให้คุณค้าขาย แต่ตัวคุณเองกลับปฏิเสธอาชีพนี้มาโดยตลอด แล้วเพราะอะไรวันนี้ถึงยอมรับมันได้         เนื่องจากว่าผมไปเรียนรามฯ แล้วถูกเรียกตัวกลับ เอาเป็นว่าผมเรียนไม่จบ แต่คนมันต้องทำงาน จะทำงานเพื่อหาเงินมาเก็บสะสม หรือใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็แล้วแต่ คนต้องมีเงินซื้อข้าว มีเงินไว้ใช้จ่าย ครานี้เมื่อผมเรียนไม่จบนี่ จะให้ทำอะไรได้ ผมก็ต้องกลับมาสู่อาชีพที่เคยปฏิเสธ มนุษย์มันเป็นสัตว์ที่พิเศษอยู่อย่างคือ นอกจากปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย มนุษย์เรายังสามารถปรับสภาพจิตใจให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างดีด้วย ในเมื่อเราเคยปฏิเสธมัน แต่เราหมดทางไปที่อื่น จริงๆจะพูดว่าหมดทางไปไม่ได้ ผมว่าผมสามารถไปได้ ผมยังเชื่อเรี่ยวแรงของวัยหนุ่มขณะนั้น แต่โอ.เค. ไปทางอื่นมันอาจจะอับจนหนทางหน่อย อาจจะลำบากลำบนหน่อย ผมจึงเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่เคยปฏิเสธ แล้วก็ทำใจรักมันซะ เตี่ยก็สอนผม การทำงานของเตี่ยนี่เข้มข้นมากๆ พลาดนิดเดียวไม่ได้ เตี่ยจะเอ็ดตะโรทันที เราก็หน้ามุ่ย -ทราบว่าท่านทำเส้นบะหมี่เป็นเจ้าแรกๆของหาดใหญ่         ใช่ครับ เตี่ยคิดสูตรเอง คิดโมเดลเครื่องตีแป้ง ตีหมี่ แล้วเอาไปให้โรงกลึงทำ ทุกวันนี้เครื่องนั้นก็ยังใช้อยู่ -ค้นพบอะไรบ้างจากชีวิตทั้งสองด้าน ทั้งจากอาชีพพ่อค้า ขณะเดียวกันก็เขียนบทกวี ซึ่งทั้งสองด้านนี้อาจจะดูเหมือนแตกต่างกัน         อย่าคิดอย่างนั้น คิดอย่างนั้นไม่ได้ ผมว่าคนเรามีได้หลายสถานภาพ อย่าไปคิดว่าคนที่เป็นพ่อค้าจะเขียนบทกวีไม่ได้ หรือคนขับสามล้อจะเป็นนักเขียนไม่ได้ การเขียนจริงๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องลำบากลำบนอะไร เพราะการเขียนก็คือการสื่อสารประเภทหนึ่งของเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพียงแต่ว่าเลือกที่จะใช้ตัวหนังสือแทนปากพูด แต่การที่คนถีบสามล้อ แม่ค้าขายผักสด คนขายก๋วยเตี๋ยว จะเขียนได้ดีแค่ไหน ตรงนั้นเป็นเรื่องเฉพาะที่เขาผ่านการอ่านมามากน้อยแค่ไหน ผ่านวิธีคิดมามากน้อยแค่ไหน ส่วนทักษะการเขียนเป็นเรื่องธรรมดา ผมว่าคนถีบสามล้อ แม่ค้าขายผัก คนขายก๋วยเตี๋ยวที่ไม่เคยเขียนหนังสือ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาได้จับปากกาและเขียนลงไป ไม่นานเขาก็เขียนเป็น
        เดวิด เบ็คแฮม ปัจจุบันนี้ยังต้องเดาะบอลอยู่นะครับ เดาะบอลเหมือนกับเด็ก ป.๒ ป.๓ ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นบอล เดวิด เบ็คเฮม เขาเดาะบอลเพื่อเรียนรู้วิธีการชั่งบอลให้แน่ใจ เรียนรู้วิธีการครองบอลให้มั่นคง คือให้เกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาในการครอบครองบอล นักเขียนทุกคนก็ยังต้องเขียนทุกวัน อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อฝึกทักษะ นักเขียนใหม่เมื่อเขาได้ผ่านการฝึกทักษะมาอย่างยาวนาน วันหนึ่งเขาก็อาจจะได้ซีไรต์         การมาถึงของผม พูดตรงๆว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ยิ่งได้รับรางวัลซีไรต์ด้วย มันจึงเป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนแปลกประหลาด มันไม่น่าจะเป็นไปได้ -และโดยเฉพาะคุณเคยเปิดเผยว่าตอนเรียนคณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้สอบตกวิชาร้อยกรอง
        เวลาผมให้สัมภาษณ์ว่าผมตกวิชาร้อยกรองนี่ ผมก็หวั่นๆใจนะ เกรงว่าอาจารย์ท่านจะเข้าใจผิดว่าผมกำลังบอกว่าอาจารย์สอนไม่ดี สถาบันสอนไม่ดี ไม่ใช่นะครับ เป็นเพราะผมไม่เข้าเรียนต่างหาก คนที่ไม่เข้าเรียนมันก็ไม่มีข้อมูลความรู้ไปตอบข้อสอบ ย่อมสอบตกเป็นธรรมดา อันนี้ผมบอกอย่างไม่อายเลย -แล้วการที่มีกรรมการซีไรต์ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่าคุณเป็นคนเขียนบทกวีที่กล้าออกนอกกรอบของขนบ คุณคิดอย่างไร         ถ้าขนบนั้นหมายถึงฉันทลักษณ์ ผมยังยืนยันว่าฉันทลักษณ์นั้นเป็นเพียงแค่ของเล่น ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย คนที่มีคำอยู่ในหัวมากมาย แล้วเขาสามารถจะนำคำเหล่านี้ออกมาใช้ หรือวันหนึ่งเขาอาจจะคิดกลอนรูปแบบใหม่ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น เราอย่าไปให้ความสำคัญกับฉันทลักษณ์มาก ถ้าเราให้ความสำคัญกับแบบแผนฉันทลักษณ์มาก มันอาจจะทำให้งานบทกวีถูกกลบปิดเสียจนบางครั้งเราน่าจะสร้างความงามในบทกวีนั้นขึ้นมาได้ ถ้าเป็นขนบในแนวของวิธีคิด ผมก็มองว่าปัจจุบันนี้โลกอยู่ในยุค ๒๕๕๐ ถ้าจะให้ผมดีดลูกคิดแทนใช้เครื่องคิดเลข ผมก็ดีดได้ ผมดีดลูกคิดเป็น ในสมัยมัธยม ๓ ที่โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์ ผมยังต้องเรียนวิชาการใช้โทรศัพท์เลย สมัยนั้นถ้าบ้านไหนมีโทรศัพท์ โอ้โห โคตรหรู แต่ปัจจุบันนี้ เรามีโทรศัพท์มือถือ เรามีเครื่องคิดเลข เรามีคอมพิวเตอร์ จะให้ผมนั่งคิดนั่งเขียนในแนวเดียวกับคนโบร่ำโบราณ ผมคิดได้มั้ย ผมคิดได้ ผมทำได้ แต่ผมไม่ทำ ผมเลือกที่จะทำในแบบของผม เพราะฉะนั้น การเขียนของผมก็คือการคุยระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ผมไม่ได้ต้องการคุยกับเทพหรือเทวดา
        คำว่าขนบสำหรับผม ผมจะไม่ยึดติดอะไรตรงนั้นเลย ผมมักจะสนใจกับประเด็นที่ผมต้องการสื่อมากกว่า และเลือกใช้คำให้เหมาะกับบริบทที่ผมต้องการสื่อ -คิดอย่างไรกับรางวัลที่ได้มา           รางวัลก็คือรางวัล มันไม่ใช่สุดยอดของปิระมิด รางวัลก็คือเกียรติยศของการทำงานที่มีคนมอบให้ รางวัลมีความสำคัญจริง แต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต ผมไม่ได้ยึดติดกับรางวัล


Comment #1
Posted @3 ต.ค.50 17.16 ip : 125...87

ปกเล่มนี้นะครับ





//นางแบบสวยจัง

Comment #2
prang๔ (Not Member)
Posted @3 ต.ค.50 19.44 ip : 202...245

สูสีคับ ในเรื่องความงามและความหล่อ!!

Comment #3
ไอ้ปลง (Not Member)
Posted @3 ต.ค.50 21.12 ip : 124...215

...เช้าตรู่วันหนึ่ง เราจึงเดินทางด้วยเครื่องการบินไทย จากสนามบินหาดใหญ่มุ่งสู่ "ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์" .....

เพิ่งรู้ว่า ตั้งแต่ได้เป็นกวีซีไรต์ การบินไทยเปิดเที่ยวบินพิเศษ
หาดใหญ่ - ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์

ใหญ่และดังจริง ๆ พี่หมี่

Comment #4
ปราง (Not Member)
Posted @4 ต.ค.50 7.23 ip : 202...245

คุณพี่ไอ้ปลง -
ที่พี่พูด เรื่องจริงป่ะคะ ??

Comment #5
ไอ้ปลง (Not Member)
Posted @4 ต.ค.50 11.04 ip : 210...35

ไม่รู้เหมือนกันครับ  ผมอ้างอิงมาจากเนื้อความบทสัมภาษณ์ข้างบน

แต่เดาเอาว่า "ไม่จริง" หรือจะ "จริง" ก็ไม่รู้แฮะ

Comment #6
Posted @4 ต.ค.50 18.59 ip : 61...3

เป็นเทพบุตรคิวทองไปซะแล้ว

Comment #7
Posted @19 พ.ย.50 15.52 ip : 202...155

อยากชิมหมี่เป็ด  แล้วก็..ยาดอง  ..แฮ่ม...  อันหลังนี่ยังพอมีเหลืออีกไหมครับ  ผมเป็นโรคเส้น ปวดหลังปวดเอวเหมือนกัน ถ้าไม่หวงสูตรก็อยากขอไปทำกินเองมั่ง  (ขอกันดื้อๆ งี้แหละ)

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 57 user(s)

User count is 2429902 person(s) and 10183017 hit(s) since 18 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).