บทวิจาร์โลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย ภาคย์ จินตนมัย
สภาวะกวี (ซีไรต์50) ในที่คุมขัง กับพลังที่เล็ดรอดออกมา
ภาคย์ จินตนมัย
เมื่อสำรวจบทกวีจำนวน 38 ชิ้น ในรวมบทกวี โลกในดวงตาข้าพเจ้า ของ มนตรี ศรียงค์ พบว่าส่วนหนึ่งไม่ได้ลงบันทึกวันที่เขียนไว้ สำหรับส่วนที่ลงบันทึกเอาไว้พบว่าบทกวีชิ้นเก่าที่สุดลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 คือบทกวีชื่อ เงาสะท้อนบนประตูกระจก และบทกวีชิ้นล่าสุดลงวันที่ 13 ธันวาคม 2549 คือบทกวีชื่อ น้องแอ๋มแคมฟร็อก นั่นหมายความว่าบทกวีเล่มนี้ใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีจึงได้ผ่านการคัดสรรจัดหมวดหมู่มารวมเล่ม และนี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่าการเป็นกวีนั้นมิอาจคาดหมายได้ในเชิง อาชีพเลี้ยงตัว หากแต่เป็นได้เพียง วิชาชีพเลี้ยงใจ
สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมจากการจัดการในการรวมเล่มบทกวีเล่มนี้ก็คือ ความคิดย่อยๆที่กระจัดกระจายตามกาละและเทศะต่างๆได้ถูก จัดการ ให้เป็นกลุ่มก้อนความคิดที่เกี่ยวโยงสืบเนื่องกัน โดยที่กวีเองก็มีความคิดต่อเนื่องเป็นชุดอยู่แล้วหลายชุด โดยดูได้จากผลงานที่ได้เขียนร้อยบทกวีเข้าไว้ด้วยกันเป็นชุดต่อเนื่องกลุ่มหนึ่งอันได้แก่ ถนนละม้ายสงเคราะห์ (7 ชิ้น) ถนนละม้ายสงเคราะห์-ตัดใหม่ (6 ชิ้น) เพื่อนเก่า (3 ชิ้น) คนรักเก่า (4 ชิ้น) นอกนั้นเป็นชิ้นปลีกๆที่ถูกนำมาคัดสรรแล้วผ่านการ จัดวาง อย่างถูกที่ถูกทางเพื่อ สร้าง และ สื่อ ความหมายออกมาให้ทรงพลังมากที่สุด
ดูเหมือนความตื่นตาตื่นใจของบทกวีรวมเล่มชุดนี้จะถูกดึงไปอยู่ ณ กลุ่มงานท้ายเล่มที่พูดเรื่องโลกในอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นข้อมูลเชยมากแล้วในปัจจุบัน และอีกไม่นานบทกวีกลุ่มนี้จะกลายเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์เชยๆให้ได้รำลึกกันเหมือนที่ เพจเจอร์และเครื่องเล่นวิดิโอ กลายเป็นของเล่นอันล้าสมัยในปัจจุบันและแทบจะไม่มีเด็กรุ่น MSN รู้จักแล้วว่ามันคืออะไร! แต่กระนั้นประเด็นที่ว่านี้ก็หาได้ทำให้คุณค่าของบทกวีชุดนี้ลดลงไม่
มาถึงตรงนี้จะเริ่มเห็นว่า รวมบทกวีนี้มีการจัดการเป็นกลุ่มๆไว้อย่างค่อนข้างซับซ้อนมีชั้นเชิง เริ่มแต่การแบ่งหมวดหมู่เป็น 4 หมวด ให้ชื่อคล้องจองกันไว้ว่า ที่เห็นไม่เร้นหาย ยังเวียนว่ายให้รู้สึก ไม่เคยฝันไม่ทันนึก และ ว่าจะเป็นกันเช่นนี้ นั่นเป็นชั้นแรก ชั้นที่สองไม่ได้มีอะไรบ่งบอกเป็นรูปธรรมมากนัก แต่ก็สามารถจัดได้เป็น ฉาก คือ ถนนละม้ายสงเคราะห์ และถนนละม้ายสงเคราะห์-ตัดใหม่ ตัวละครที่ยังมีชีวิต ได้แก่ เพื่อนเก่า และคนรักเก่า ตัวละครที่เพิ่งถึงแก่กรรม (ตามบันทึกท้ายบทกวี) ได้แก่ ปา บิดาของผู้เขียน เจริญ วัดอักษร กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนหนุ่มร่วมสมัยที่จากไปก่อนวัยอันควร เปลื้อง คงแก้วหรือกวีผู้ใช้นามปากกกาว่า เทือก บรรทัด บุคคลนิรนามที่พลีชีพในจังหวัดนราธิวาสอันเนื่องมาจากปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ ปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์ในชุมชนละม้ายสงเคราะห์ นั่นคือเรื่องราวในโลกออนไลน์ ยังมีชั้นที่สามอีก ได้แก่ โลกกาลเวลาของกวีที่พอจะแบ่งได้เป็น ปัจจุบัน-ที่เป็นร่องรอยอดีต อดีต ปัจจุบัน-ที่เป็นตัวบ่งอนาคต อีกชั้นหนึ่งก็คือ ความสงบสุข ความรุนแรงในสังคม กับ ความปั่นป่วนไร้ระเบียบ (chaos) ของโลก รวมบทกวีเล่มนี้จึงจัดว่ามีหลากหลายมิติที่ซ้อนกันอยู่ และเป็นหลากหลายมิติที่เหลื่อมซ้อนสัมพันธ์กัน
โลกในดวงตาของกวีที่ชื่อมนตรี ศรียงค์ เริ่มต้นขึ้นด้วย ฉากอันงามเหงาชวนเศร้า บนถนนละม้ายสงเคราะห์ ณ เวลาปัจจุบันอันเป็นร่องรอยแห่งอดีต
...ปีที่เจ็ดสิบ ซิ้มฮกเกี้ยน
การแปลงเปลี่ยนไปสู่ มิรู้เห็น
บ้านไม้ยังงำเงียบ ยังเยียบเย็น
โดดเด่น โดดเดี่ยว เดียวดาย
กันสาดนั้นกั้นแดดตะวันตก
มืดหมกร่มงำในยามบ่าย
เป็นบ้านไม้ชำรุดหลังสุดท้าย
ณ ถนนละม้ายสงเคราะห์ - พ.ศ. นี้!.
(บ้านเลขที่ 41/3 หน้า 20)
แล้วจบลงตรงท้ายเล่ม ที่ไม่ใช่บทสุดท้าย ซึ่งเป็นฉากในห้องสี่เหลี่ยมยามค่ำคืน หน้าจอมอนิเตอร์ อันเป็นปัจจุบันที่บ่งบอกถึงโลกอนาคต ว่า
...แอ๋มคลิกชื่อคนที่เขามีกล้อง
แล้วส่องดูเห็นอย่างเต้นตื่น
การร่วมรักโชว์สดกันบนพื้น
ท่ามสายตากระเหี้ยนกระหือหื่นนับหมื่นดวง
เธอสั่นเสียวครางลูบหว่างขา
กล้องเบื้องหน้าถ่ายทอดตลอดช่วง
จนผ่านคืนแคมฟร็อกกระทอกทะลวง
เช้าล่วงพรุ่งนี้แอ๋มมีเรียน...
(น้องแอ๋มแคมฟร็อก หน้า133)
ลองคิดดูก็แล้วกันว่า คนสามคน สามวัย บนโลกใบเดียวกันที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในสังคมที่ทุกคนต่างมี ยุคสมัยของตนเอง ซิ้มฮกเกี้ยน กับ น้องแอ๋ม ผู้หญิงสองคน สองวัย อายุห่างกันประมาณครึ่งศตวรรษ จะจินตนาการถึงโลกของกันและกันอย่างไร กวีเห็นโลกทั้งสองโลก เขาอยู่ระหว่างโลกทั้งสอง และกำลังอยู่ระหว่างยุคสมัยหรืออยู่ท่ามกลางกระแสธารกาลเวลา อยู่ตรงกลางทาง ก้าวต่อไปก็ยังอีกไกลนัก ย้อนกลับไปก็ใช่ที่ อยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่า วัยกลางคน กลับไม่ได้และยังไปไม่ถึง กวีจึงเสมือนถูกคุมขัง โดยมีสังคมเป็นที่กักขัง สังคมที่มีอดีตซึ่งดูเหมือนจะดีกว่าแต่เป็นของที่ตายแล้ว กับอนาคตที่ดูเหมือนจะไม่แน่นอนและไว้ใจไม่ได้เพราะมันทำให้เราต้องปรับตัวปรับใจ ตามกลไกธรรมชาติ ในขณะที่เสียงเรียกร้องในด้านความมั่นคงของชีวิตและจิตวิญญาณก็คอยขัดแย้งให้พยายามแช่แข็งตัวเองเอาไว้ นี่คือสภาวะของกวีในท่ามกลางยุคสมัยที่แปรเปลี่ยน ในโลกอันแปรปรวนและควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาทุกยุคสมัย อนาคตอันมืดมนเพราะความไม่รู้และเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ ย่อมน่ากลัวกว่าอดีตที่แจ่มกระจ่างทว่าไร้ชีวิต
จากบทเปิดเล่มกับบทท้ายเล่ม ก็ราวกับจะเห็น ความห่างเกือบศตวรรษ ของโลกในดวงตากวีแล้ว และนี่เป็นปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้ล่วงหน้ามาเป็นสิบปีแล้วว่าคือ ความตระหนกต่อหนาคต (future shock) เพราะความเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงรวดเร็วของโลก
สภาวะของกวีที่ถุกคุมขังในสังคมของตนซึ่งดูเหมือนหยุดนิ่ง แต่ทว่ามันกลับเคลื่อนไหวไปตามแรงเหวี่ยงของโลกอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทาง กลายเป็นความโกลาหลอลหม่าน (chaos) ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง สิ่งแวดล้อมที่กวีนำมาแสดงออกจะร้อนแรง เช่น แดดอันร้อนและเผาไหม้ โลกอันแปรปรวนดังทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม (เป็นภาพแสดงถึงแห่งภาวะโกลาหลอลหม่าน) ที่มนุษย์ตัวเล็กๆทั้งหลายต้องว่ายต้องตะกายไปให้ถึงฝั่ง เช่น
วันนี้ไม่มีของเด็กเล่น
เพลาเพลเพล รถติด
ร้อนทบอบท่าวอ้าวทิศ
แผลงแดดแผดฤทธิ์พิษแรง
(BYEBYE COWBOY หน้า 53)
ไปสู่ความเวิ้งว้างอันกว้างลึก
กลางครึกคลื่นโครมที่โถมถา
แปดทิศมิดมืดขึงพืดทา
ดำสนิทมิดตาด้วยราตรี
สมอเรือดิ่งลงให้ทรงตัว
เดิ่งหัวขยับอยู่กับที่
แล้วความมืดดำ ปีซ้ำปี
ก็กลืนเรือป่นปี้ แต่นี้มา
(ยุทธนา : ราวนักเดินเรือหาปลาขอบฟ้าไกล หน้า 73)
เกรียมแดดเกรียมฟ้ากลางมหาสมุทร
มนุษย์ ผู้มั่นในความเชื่อ
คาวเค็มนั้นยังคงกรังเกลือ
เลือดเนื้อเหงื่อหลั่งก็กรังคาว
สองมือจ้วงพายว่ายแหวก
คลื่นแหลกแตกฟองฟ่องขาว
เสียงฮึบแต่ละฮึบนั้นฮึบยาว
แกร่งและกร้าวทุกคำเพื่อนำเรือ
ตัดคลื่นไปสู่เส้นขอบฟ้า
ดวงตาสีเข้มยังสุกเรื่อ
แขนที่จับพายกำคือกล้ามเนื้อ
งาดเงื้อแล้วจ้วงให้ล่วงไป
(เรือกลางทะเล หน้า 106)
ปัจจุบันอันเป็นผลมาจากอดีตอันล่วงไปแล้วที่ไม่สามารถย้อนไปแก้ไขอะไรได้ และปัจจุบันอันเป็นสัญญาณบ่งบอกอนาคตอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง ดูจะร้อนแรงและโกลาหลอลหม่านอยู่ในใจของกวีที่ชื่อ มนตรี ศรียงค์ เป็นอย่างยิ่ง มันมีพลังกดดันควบคุมให้กวีต้องจำกัดตนเองในกรอบพื้นที่แคบๆทางจิตวิญญาณ คับข้องหมองใจ และปะทะปะทุอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างดุเดือด มันมีเรี่ยวแรงจนแทบจะฉีกกระชากเอาสภาวะทางจิตวิญญาณของกวีให้ฉีกเป็นริ้วๆ แต่กวีเองก็ไม่ยอมปล่อยให้สภาพอันบีบคั้นนั้นมาทำลายสภาวะกวีได้ แต่ก็ไม่อาจเป็นอิสระจากสภาพกดดันบีบคั้นทางสังคม สังคมซึ่งล้มเหลวและล่มสลายทางจริยธรรมและคุณค่าอันเป็นความงาม ความดี ความจริงที่กวีศรัทธาและบูชาลงไปเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าหยุดดูข้าพเจ้า
สัตว์เศร้าเหงางำผู้คร่ำเคร่ง
สะอื้นเสียงครวญครางอยู่วังเวง
ขับเปล่งเสียงเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
(เงาสะท้อนบนประตูกระจก หน้า 35)
และใช่เพียงกวีที่เป็นคนป่วยไข้ในสังคม หากแต่เป็นเราทั้งหลายด้วย
เราเป็นสัตว์บาดเจ็บแห่งยุคสมัย
อุกาบาตลูกใหญ่นั้นไล่จ่อ
ข้าพเจ้าม้วนหดตัวขดงอ
เขานอเขี้ยวเล็บถูกเก็บไว้!
(ทั้งท่านแหละทั้งข้าพเจ้า หน้า 65)
โลกในดวงตาข้าพเจ้า จึงเป็นการเปล่งเสียงอันทรงพลังของกวีเล็ดรอดออกมาจากที่กักขังทางจิตวิญญาณ มันไม่ใช่เสียงอันรื่นรมย์ หากแต่เป็นเสียงอันเจ็บปวดรวดร้าวต่อการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวของสังคม และความเลวของสังคมนั้นเองก็ได้กักขังเขาเอาไว้ให้อยู่ภายในพื้นที่แคบๆทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและในโลกทางจิตวิญญาณ
อนิจจา เกิดมาแล้วตายไป
ณ มหรรณพใดที่ว่ายล่อง
ลอยตัวสะเปะสะปะ ประคับประคอง
เพื่อดิ่งลงไปกองใต้ท้องน้ำ
พริบตา อายุก็ลุวัย
เดี๋ยวก็วันผ่านไป เดี๋ยวก็ค่ำ
กับสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรม
พร่างพร้อยรอยย่ำมาตามวัย
พ่นควันเป็นรูปสถูปคร่ำ
เขรอะคล้ำคราบเขียวของตะไคร่
เป็นธูปเทียนหรีดพวง เป็นปวงไฟ
ที่พร้อมจะเผาไหม้ดอกไม้จัน
อนิจจา อนิจจา อนิจจา
มวลธาตุที่ก่อมา อายุสั้น
มอดลงทีละนิด นิดละวัน
เป็นถ่านเถ้าเขม่าควันแล้วอันตราน
(เพียงพริบตา หน้า141)
มนตรี ศรียงค์ เปล่งพลังเสียงออกมาแล้วถึงคำ อนิจจา อันหมายถึง อนิจจํ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังต้องไม่ลืมว่า ไตรลักษณ์ นั้น ประกอบด้วย อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา หาได้มี อนิจจํ ลำพังไม่!
เช้าตรู่วันฝนตกหนัก เชียงใหม่ / ๑๗ กันยายน ๒๕๕๐
จาก www.praphansarn.com/new/c_vijan/detail.asp?ID=57
Relate topics
- บทสัมภาษณ์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของมาเลเซีย
- บทวิจาร์ณโลกในดวงตาข้าพเจ้า โดย สุภาพ พิมพ์ชน
- บทสัมภาษณ์ต่อปัญหาภาคใต้
- มี ก อ ง วั ส ดุ บ น ไ ห ล่ ท า ง
- การสร้างสรรค์วรรณกรรมในภาวะวิกฤติสังคมไทย: บทวิเคราะห์กรณีศึกษาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ,บ้านทรายทองและปีศาจ
- สุดดิน เพลงปลุกใจที่ยังอยู่ในความทรงจำ
- บทสัมภาษณ์ใน วารสารโรงเรียนนางรองพิทยาคม
- บทสัมภาษณ์ใน ศิลปวัฒนธรรม
- บทสัมภาษณ์ใน the nation.
- บทสัมภาษณ์ในสกุลไทย