บทสัมภาษณ์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของมาเลเซีย

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @28 มิ.ย.52 21.43 ( IP : 113...218 ) | Tags : บทสัมภาษณ์

Dear Dr.Chong

หาดใหญ่เป็นเมืองที่ชาวมาเลเซียคุ้นเคยกันดี เราเป็นเสมือนหนึ่งบ้านพี่เมืองน้อง มันคือ

มิตรภาพที่เส้นแบ่งเขตแดนไม่มีความหมาย ผมยินดียิ่งกับมิตรภาพอันงดงามนี้.

การมาถึงของปัญญาชนสองท่าน ที่ให้เกียรติเยี่ยมเยียนร้านหมี่เป็ดที่แสนต่ำต้อยของผม นับ

เป็นสิ่งที่เกินคาดคิด หากการต้อนรับครั้งนั้นมีอะไรบกพร่องแม้เพียงเล็กน้อย ผมขออภัยมา ณ ที่นี้

และรอคอยการมาเยือนของมิตรปัญญาชนทั้งสองท่านอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง ขอบคุณยิ่งสำหรับ

คำกล่าวชม ทั้งในรสชาติหมี่เป็ด และงานกวีนิพนธ์ของผม ผมยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการพูดคุย

เพื่อสื่อไปยังชาวมาเลเซียทั้งมวล.


ดร. จ้องที่รัก เชื่อเหมือนผมไหม? คนตัวเล็กๆที่เดินกันขวักไขว่อยู่บนถนน แบกกระสอบข้าวสาร

โหนรถประจำทางไปทำงาน ที่แอดอัดกันอยู่ในชุมชนแออัด ที่กำลังร้องเพลงพื้นบ้านเก็บข้าวในนา

ที่กำลังปลูกดอกไม้ให้สะพรั่งสวยสด อีกมากมายของคนเหล่านี้ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในหลืบมุมของ

เมือง ของสังคมที่ทุนโลกาภิวัตน์พัดกระหน่ำจนซวดเซ และที่บางคนยังยิ้มด้วยความเข้มแข็งกับการ

งานอันหนักหน่วง พวกเขาเหล่านี้แหละ ดร.จ้องที่รัก  ล้วนแล้วคือพลังอันแข็งแกร่งเกรียงไกรในการ

สร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่โลก  พวกเขาเหล่านี้มีศักยภาพมากมายเพียงพอต่อการหมุนกงล้อประวัติ

ศาสตร์ แต่เหตุใดล่ะที่พวกเขาจึงได้แต่นั่งกอดเข่าก้มหน้า? เหตุใดจึงสิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่? เหตุ

ใดหนอที่พวกเขาจึงก่นด่าแต่โชคชะตา และรอคอยบางสิ่งบางอย่างอันลมๆแล้งมาช่วยเหลือ?  เหตุ

ใดจึงได้แต่กัดฟันยิ้มรับชะตากรรมเมื่อถูกการเมืองโหมกระหน่ำ สิ้นไร้ความกล้าหาญในการเลือกชีวิต

ที่ดีกว่า  ดร.จ้อง-  ผมเพียงรับรู้บางสิ่งบางอย่างเหล่านี้จากการสังเกตเห็น จากการเฝ้ามองอย่าง

พินิจ จากการใช้ชีวิตในระดับเดียวกับเขา ผมพบว่ามันมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่ แน่ล่ะ-ที่

ผมไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่สังคมไทย

งานชุด โลกในดวงตาข้าพเจ้า คือการผลิตออกมารับใช้ความคิดเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้า

มาในสายตาของเราทั้งมวล มันไม่ใช่เรื่องเหลวไหล มันไม่ใช่เรื่องไร้ค่า ยิ่งหากจะบอกว่ามันไม่มี

ความหมายอันใดเลยยิ่งไม่ใช่ ดร.จ้องที่รัก- ชีวิตเป็นสิ่งประเสริฐสุด ที่พระเจ้าได้ประทานมาให้กับ

เรา ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าพระเจ้าตั้งใจมอบความรักบรรจุอยู่ในหัวใจของเรา พระเจ้าคืออะไร? นัก

ปราชญ์มากมายได้พยายามตอบคำถามนี้  ซึ่งคำตอบล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ที่เขาแต่ละคน

มีอยู่เป็นเข็มมุ่งชี้นำ และผมผู้ซึ่งไม่ใช่ศาสนิกชนที่ดีสักเท่าไหร่ ก็ไม่กล้าที่จะอธิบายคำอันยิ่งใหญ่นี้

ออกมา ผมรู้เพียงว่าเราต้องเคารพในสิ่งที่ผู้อื่นศรัทธา ใช่แล้ว ดร. จ้อง ศรัทธาคือสิ่งที่ผมกำลัง

อธิบายงานชุด โลกในดวงตาข้าพเจ้า นี้


มันคือศรัทธาต่ออะไร? โดยสรุปก็คือศรัทธาต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษยชาติ คือความองอาจกล้าหาญ

ของคนตัวเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าโดยไร้เกียรติยศใดๆป่าวประกาศ โชคร้ายที่ความสำคัญ

ของพวกเขาถูกทำให้เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ทุกฉบับที่มี มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูก

ต้อง ศรัทธาที่มวลมนุษย์มีนั้น ต้องคือสิ่งสูงสุดที่เราต้องเคารพต่อกัน ในนามกวีตัวเล็กๆที่ยังชีพอยู่

ได้ด้วยการขายหมี่เป็ด เป็นชนชั้นแรงงานที่เขียนหนังสือสื่อผ่านไปยังสังคม ผมทำหน้าที่ตรงนี้อย่าง

ดีที่สุดแล้ว อย่างเต็มกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้ ในข้อจำกัดต่างๆที่เป็นเงื่อนไขของภววิสัย

อันรัดรึงบริบทการเคลื่อนไหวต่างๆ โลกในดวงตาข้าพเจ้า จึงเป็นการผลิตงานชุดคนตัวเล็กๆบน

ท้องถนนในหัวเมืองห่างไกลจากกรุงเทพเป็น 1,000 กิโลเมตร เพื่อตะโกนบอกผู้คนว่าที่นี่ ที่ถนน

ละม้ายสงเคราะห์แห่งนี้แหละ มีคาวบอยผู้ทระนงต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีคนรักของช่างเสริม

สวยคนหนึ่งกำลังไร้ที่ยืนในห้วงเวลาปัจจุบัน มีร้านข้าวมันไก่ที่ตกอยู่ท่ามกลางการแข่งขันแบบทุน

นิยม จนสูญเสียมิตรภาพ สูญเสียลักษณะประนีประนอมของความเป็นมนุษย์ มีเพื่อนเก่าๆของผมที่

กำลังดิ้นรนดำเนินชีวิต  ครอบครัวที่แตกสานซ่านเซ็นเพราะอะไรบางอย่างจากโลกสมัยใหม่ และที่

ตายไปเพราะวัยหนุ่มอันคึกคะนอง บอกกล่าวผ่านกวีนิพนธ์ว่า มีคนรักเก่าๆของผมอยู่ที่นี่ ความทรง

จำอันงดงามและหอมหวานของผมอยู่ที่นี่ ที่ที่เป็นที่เกิดและอาศัยอยู่ด้วยความรัก  พูดถึงคนที่ผม

ศรัทธาในการใช้ชีวิตที่ได้ตายจากไป พูดถึงโลกที่หมุนอย่างรวดเร็วเป็นพายุไซโคลน ฉายภาพของ

เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากตนเองและมอนิเตอร์อันนำเขาสู่โลกอินเทอร์เนต พูดถึง

การเมืองของสังคมไทยที่แบ่งฝ่ายและพร้อมจะฆ่ากัน พูดถึงเหตุการณ์ชายแดนใต้ที่ยังคงมีคนตายได้

อยู่ทุกวัน มันคือความล้มเหลวของสังคมไทยหรือไม่? ดร. จ้องที่รัก ผมตอบได้เพียงไม่ทราบได้ว่า

สังคมของผมล้มเหลวหรือไม่ ผมทราบเพียงว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุด

ช่วงหนึ่ง    โลกหลังสมัยใหม่ (Post modern) ได้พัดพาสังคมไทยกระจัดกระจายเป็นฝุ่นฝอย และ

ยากแก่การกอบเก็บมาปั้นเป็นดินเนื้อเดียวดั่งเดิมได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชิ้นที่รวมอยู่ใน

เล่ม เป็นการบอกกล่าวภาวะด้านมืดของจิตในตัวผมเอง  แต่ โลกในดวงตาข้าพเจ้า เล่มนี้ ก็ยังคงมี

ความหวังแห่งการมีชีวิตอยู่ ผมพูดถึง นิพพานในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ อันเป็นการพยายามบอกผู้คน

ผ่านบทกวี ว่าเราสามารถเข้าถึงจุดสูงสุดของชีวิตในทัศนะพุทธได้ และมันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด

เลย นิพพานคำนี้ผมตีความเอาตามท่านพุทธทาส พระภิกษุนักปราชญ์ที่ทรงคุณค่าที่สุดท่านหนึ่ง

ของสังคมไทย  ที่อธิบายความหมายนามธรรมนี้ให้เป็นรูปร่างชัดเจน จับต้องสัมผัสได้ และปฏิบัติได้

อย่างง่ายดาย  บทกวีที่ชื่อ เพียงพริบตา อันเป็นงานชิ้นปิดเล่ม เป็นการสรุปองค์รวมคอนเซปท์

ของ โลกในดวงตาข้าพเจ้า ที่มองเห็นชีวิตเรามอดไหม้เหมือนเถ้าบุหรี่ วันเวลากัดกินชีวิตเราไปที

ละวัน วันละนิด ก่อนจะดับสูญหายไปเหมือนควันบุหรี่ที่ล่องลอยแผ่วเบา แล้วเลือนสายหายไปกับ

อากาศ ชีวิตหลังการตายไม่มีความหมายอันใดเลย แต่ชีวิตก่อนตายนี่สิ  เราจะจัดการกับมันอย่างไร

ให้ทรงคุณค่าต่างหาก


ผมเกิดเมื่อปี 1968 ในเมืองหาดใหญ่ เตี่ยเป็นชาวจีนที่อพยพหนีความยากจนและสงครามยืดเยื้อมา

จากแผ่นดินใหญ่ แม่เป็นลูกสาวชาวนา จากหมู่บ้านล้าหลังของอำเภอหัวไทรจังหวัดนครศรี

ธรรมราช  เตี่ยสร้างครอบครัวมาด้วยน้ำพักน้ำแรงอันเข้มแข็ง  จนเราเป็นร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์อันเก่า

แก่ของเมือง  ผมเป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องชายคนเดียวของพี่สาวสองคน ชื่อภาษาจีนคือ เฉิน เสี่ยว

ย้ง  แน่ล่ะที่ผมเป็นคนแซ่เฉิน  เป็นจีนแต้จิ๋วที่พูดภาษาจีนไม่ได้เลย ด้วยเมื่อยังเยาว์ผมถูกเลี้ยงดู

และเติบโตมาอย่างคนไทยบ้านนอก เป็นคนที่เกิดในเมืองที่เป็นบ้านนอกอย่างภาคภูมิใจ ผมไม่เคย

อายในสำเนียงภาษากลางอันแปร่งเหน่อทองแดง และเสียดายที่ไม่ได้ตักตวงภาษาจีนจากเตี่ยให้

เต็มที่  จนเมื่อเตี่ยได้จากไปในปี 2003 ในอายุ 93 ปี  ผมจึงรู้ว่าสูญเสียครูภาษาจีนที่ดีที่สุดไปอย่าง

นิรันดร


การศึกษาสูงสุดคือมัธยมปลายปีที่ 6    ในโปรแกรมพลานามัยอันถือเป็นโปรแกรมที่ต่ำต้อยสุด  และ

จบมาอย่างทุลักทุเล  จากเด็กน้อยขี้แยขี้กลัวเมื่อยังเป็นเด็กน้อย เลือดหนุ่มรุ่นกลับฉีดพลุ่ง

พล่านอย่างฉับพลันในห้วงวัยคะนอง ทุกที่ในโลกใบนี้ผมสามารถที่จะเดินย่ำให้เป็นเทือกได้โดยไม่

ลังเล  ครั้นจบมัธยมปลายปีที่ 6  ผมก็เดินทางเข้าศึกษาต่อที่กรุงเทพ ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง

สถาบันการศึกษาของรัฐที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิด (ไม่ต้องสอบแข่งขันเข้าเรียน) ผมเรียนคณะ

มนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย ก่อนจะย้ายไปเรียนคณะรัฐศาสตร์ เอกการเมืองการปกครอง ด้วยความ

สนใจการเมืองที่เป็นทุนเดิม และเพราะเลือดหนุ่มรุ่นอันเดือดพล่านในเส้นเลือดนี่เอง ที่ทำให้แม่

เรียกตัวกลับบ้าน ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป ผมจึงกลับมาช่วยที่ร้านขายหมี่เป็ดตั้งแต่บัดนั้น


ผมเป็นคนอ่านหนังสือมาโดยตลอด จากอ่านการ์ตูนตามประสาเด็ก ก็เติบโตการอ่านไปสู่

วรรณกรรม  วันหนึ่งในรามคำแหง เพื่อนคนหนึ่งได้ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้อ่าน นับแต่ได้อ่าน

ปีศาจ นิยายของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ผมก็กลายเป็นหนอนหนังสือไปเสียแล้ว เพราะการอ่านมามาก

มายยาวนานนี่เอง ทำให้อยากจะสื่อสารอะไรบางสิ่งบางอย่างไปยังสังคม ผมเริ่มเขียนบทกวีตั้งแต่

เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 ซึ่งเป็นบทกวีรักตามประสาเด็กหนุ่ม และเขียนเรื่อยมาโดยไม่หยุดพัก จนล่วง

เข้าสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในเดือนพฤษภาคม 1992 นั่นเอง- ที่บทกวีเป็นชิ้นเป็นอันของผมได้ถูก

เผยแพร่เป็นครั้งแรก และต่อเนื่องยาวนานมาจนปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนกี่ชิ้นนั้นไม่เคยนับ ยุคแรกๆของ

การเขียนบทกวี ผมเน้นไปที่เรื่องของสังคม-การเมืองในสกุล Social Realism. และพยายามอธิบาย

โครงสร้างปัญหาของสังคมผ่านบทกวี โดยอาศัยลักษณะSatire.  จนทักษะเข้าที่เข้าทาง ก็หันมา

เขียนแนวปรัชญาบ้างแนวอื่นๆบ้าง ดังนั้นหากจะนับจำนวนชิ้นผมก็คงจะไม่อาจนับได้ครบจำนวน

และหากจะถามถึงผลงานที่ผมรักหวงแหนด้วยแล้วนั้น ผมจะตอบอย่างไรดี? ในเมื่อแต่ละชิ้นที่

ผลิตออกมา ผมทำมันด้วยความรักเอาใจใส่ ทะนุถนอมและดูแลมันดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ใน

ห้วงเวลานั้น


ยิ่งเมื่อช่วงหลังๆก่อนจะรวมเล่ม โลกในดวงตาข้าพเจ้า ผมเขียนเรื่องของคนตัวเล็กๆทั่วๆไป

พฤติกรรมต่างๆที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เขียนถึงชีวิตจริงๆที่มีอยู่จริง โดยผ่านมุมมองและการ

โฟกัสหาอะไรบางอย่างมาเป็นประเด็น ผมเชื่อ- ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ไม่ว่าชีวิตนั้นจะอยู่ในรูปทรงของ

มนุษย์คนใด


เลือดที่ไหลวนอยู่ในร่างกายผม ปนเปไปทั้งความเป็นจีนและไทย กับคำถามที่ว่าหากผมจะจัดตนเอง

ยืนอยู่ในสายพันธุ์ใดนั้น ยีนและโครโมโซมของผมจะมีลักษณะใดพิเศษเด่นกว่ากัน? ผมตอบไม่ได้

ดร. จ้องที่รัก ทุกสิ่งที่หล่อหลอมมาเป็นผมคนหนึ่ง มันคือสายเลือดทั้ง 2 สายพันธุ์ กลมเกลียวแน่น

หนาฝังลึกตกตะกอนอยู่ในวิญญาณ ผมไม่ใช่คนของชาติพันธุ์ใดหนึ่ง และเชื่อว่าเราไม่ควรยึดติดอยู่

กับภูมิประเทศพื้นที่ที่เราเกิด หรือสายเลือดที่แดงข้นของเรา  คติชาตินิยม, เชื้อชาตินิยมเป็นสิ่งดี

หากมันถูกใช้เพื่อการรวมชาติในยุคแรกๆ แต่ที่สุดเราต้องสลายมันไปให้ได้ เพื่อการอยู่ร่วมกัน

อย่างอบอุ่น ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกผู้เกิดแก่เจ็บตายเช่นกัน มนุษย์ผู้วนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ  มนุษย์ผู้

เกิดมาไม่มีอะไรเป็นของเราเองเลย แม้แต่ชีวิตที่ยังต้องส่งคืนกลับไปยังธรรมชาติ


ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขยิ่งกับเรื่องสั้น โดยเทคนิกเดิมๆที่เคยใช้ในการเขียนบทกวี ผมจับเอาเรื่อง

ราวเล็กๆของคนธรรมดาๆทั่วไปเอามาเขียน มันอาจเป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น อาจเป็นเรื่องจริง

เพียงเสี้ยวที่สร้างแรงสะเทือนใจ หรืออาจเป็นเรื่องที่คิดพล็อตขึ้นมาเอง เพื่อนำไปสู่จุดที่ต้องการสื่อ

อย่างไรก็ตาม- ตอนนี้ผมได้เขียนนิยายเสร็จไปแล้วเรื่องหนึ่ง ชื่อ รุสนี: เด็กสาวคนนั้นดวงตา

เศร้า อยู่ในขั้นตอนของการขัดเกลาให้กาววาวสวยงามผุดผ่องที่สุด เป็นเรื่องราวของเด็กสาวมุสลิม

คนหนึ่ง ในหมู่บ้านแคและ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่

ชายแดนใต้ของไทย ผมไม่ลงลึกในรายละเอียดว่าใครก่อเหตุการณ์? เหตุใดจึงเกิดความไม่สงบ?

ด้วยนั่นเป็นเรื่องที่ยากแก่การค้นหาสำหรับนักเขียนอย่างผม ที่กิจการงานร้านหมี่เป็ดทำให้ไม่

สามารถขยับตัวได้มากนัก แต่สิ่งที่อยากบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศที่อยู่ในภาคอื่นๆได้รับทราบ

ว่าแท้แล้วพุทธกับมุสลิมอยู่ร่วมกันได้ อย่างสงบสันติและมีความสุขมาอย่างช้านาน ผมต้องการ

ละลายความเกลียดชังเรื่องชาติพันธุ์ศาสนาออกไปให้หมดจากจิตใจของเรา เพราะเมื่อเรามองคนที่

แตกต่างด้วยดวงตาแห่งมิตร เราจะเห็นความน่ารักของมนุษย์ในโลกนี้ทันที และนั่น- ไม่มีความจำ

เป็นใดๆอีกเลยสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อให้รักกัน


ผลงานที่มี...


ดอกตะแบกเริ่มบาน หนังสือทำมือแนะนำของรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดส์ 2007 พิมพ์โดยหมี่เป็ด

สำนักพิมพ์


การพังทลายของทางช้างเผือก หนังสือทำมือส่งประกวดได้รับรางวัลพิเศษจาก

รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดเมื่อปี 2006  พิมพ์โดยหมี่เป็ดสำนักพิมพ์


ดอกฝัน: ฤดูฝนที่แสนธรรมดา เป็นหนังสือรวมบทกวีเล่มแรก พิมพ์โดย แพรวสำนักพิมพ์ พ.ศ.

1998


โลกในดวงตาข้าพเจ้า เป็นหนังสือรวมบทกวีเล่มที่สอง พิมพ์โดย สำนักพิมพ์สามัญชนเมื่อเดือน

มีนาคม พ.ศ. 2007 และได้รับรางวัลซีไรต์ พ.ศ. 2007


The DuckDucks Manifesto. รวมเล่มเรื่องสั้นกึ่งความเรียงเล่มแรก เข้ารอบ 7 เล่มสุดท้ายรางวัล

เซเว่นบุ๊คอะวอร์ด พ.ศ. 2007 และมีเสียงชื่นชมจากนักเขียนใหญ่ รงค์ วงษ์สวรรค์ และอีกหลายนาม


ด้วยความดีงามทั้งปวง

มนตรี ศรียงค์

22-05-09





Dear Dr.Chong,

Firstly, I would like to express my appreciation and would like to humbly welcome both of

you to my noodle restaurant. I never expected such an honor like that before in my life,

and I apologize if, for some reason, either of you felt uncomfortable in visiting. Nonetheless,

I want to let you  know how glad  I was to receive your visit, and I also want to thank you

for your admiration of the taste of my duck noodles as well as my poetry. Thank you

again for interviewing me, it is  such a great honor to communicate to all Malaysians.


Do you believe in simple peoples power? Yes, I do. I do believe in them.

They are small , simple and  you can find them everywhere: People walking along the

street, people working in slums, a man enjoying singing a folk song in his rice field,  or the

woman who is planting beautiful flowers for our earth. They are plain and simple in this

world, even as the new wave of globalization ruins their lives. They still stand with strength

of spirit. They smile back to the world as if nothing had happened to them. They are

powerful hands for healing the old world, and for moving towards a new world.


Those people can do anything they want in life, but I dont understand why do they throw

their hopes and dreams away. Why do they look hopeless, giving up on everything?

Why do they keep complaining, and blaming their destiny again and again? Why do they

accept the result of poor politics? There is no bravery left in their lives, just fear and

hopelessness.


Dear Dr. Chong, I learn from those people by observing their lives and their destinations. I

discovered something fundamentally wrong among the people. And no, I dont mean

people only in Thailand, but people all over the world.


My poetry book, The worlds vision in my eyes, is nothing else but peoples observations

and a look at how they think. Life itself, which God gave us, is excellent. I believe that God

gives life to people, and then He gave us love, for loving one another. Life is not just a life.

Its a deeper meaning, and without that love, humanity cannot be humanity.


When I say God, I dont mean God in a religious sense. I think the definition of God

depends on our belief or our faith. I myself am not a good Buddhist, so I dare not talk

about absolute truths such as God. But I do know that we must respect each others belief

and faith. All of what I believe became my book, The worlds vision in my eyes. Yes, this

book is all about faith.


I do believe in humanity. I do believe in all brave and simple men who want to move the

world without asking anything in return. Yes, I do believe in those people, but

unfortunately, people like his became dust in the wind in every nations history. I think

from person to person, we must respect each other and not lose faith between us.


I myself, in writing poetry and running a local noodle restaurant, would like to say Im a

poet and proletariat. I see myself as a proletariat who writes poetry to communicate to the

world. I try to do my best to reflect my abilities in this regard.


So my book, The worlds vision in my eyes is nothing else but my own collection of

human beings.  Its a product of a simple writer who lives a thousand kilometers away from

Thailands capital city. My book is a voice to let people know that on Lamaisongkhlo Street,

there is a variety of life. There is a man who is proud to be a cowboy, a lover of hopeless

hairdresser, an owner of a small restaurant who tries to fight capitalism, some broken

families hit from the bad side of technology, and some who died because of a teenagers

mistake. I want to speak out through my poetry. Some of my ex-loves, and all of my

sweet memories are here.


This street is my beloved home. I want to talk about the people who live next door and

nearby, and I want to let people know how crazy this world is. And I also want to talk

about the young generation that lives around here, who dont care about anything

outside of themselves and the cyberworld on the Internet.


In this book, I talk about Thailands political situation, which is divided into two groups who

are ready to kill each other at a moments notice. I talk about the situation in southern

Thailand, where people are being killed every day. Is this Thailands worst future? I dont

really know, but what I do know is that Thailand is going to move towards its most

important era ever.


The post-modern era destroyed the world and my country. Like a big storm that ruins

ways of life and cultures. We all have been destroyed by rampant development, but

humanity still stands on faith, as do the poems in my book. What I try to communicate to

the world is, dont give up. Life is always wonderful and beautiful. I do believe in the bright

side of being.


In one of my poems, Nirvana in Siriwats Noodle Restaurant, I attempt to speak about

nirvana. It seems funny, but its quite serious: How could people achieve nirvana in a little

noodle restaurant?


I want to tell you that to get to absolute truth is not that hard. But nirvana in my

definition is taken from the philosopher monk, Buddhadasa Bhikkhus definition, which

explains nirvana from specific to an abstract noun, easy to understand and practice.


Just a Moment is the last poem in the book, but it is also the entire concept. Time is

burning our life, day by day, until we become ashes. Like a cigarette that finally fades off

and is gone with the wind. I dont care much about life after death, but I do care about life

before death. How can we manage every day before we become ashes? That is my

concern.


I was born in Hat Yai in 1968. My father was a poor immigrant from mainland China. My

mother is a poor farmers daughter from Nakhonsrithammaraj, in the Hua Sai district. My

father was a hard worker. He worked hard and collected money until we could own our

own family restaurant. Our restaurant, Siriwats Duck Noodle, has been very well known

in Hat Yai for a long time. I have two older sisters, but am the only son in the family. My

Chinese name is Chan Xiao Yang. You can say Im from Chans family, but I cant speak

Chinese at all, since I have been raised by my mother, who is Thai.


Im a small town boy, but have never felt bad about my thick southern accent. My father

passed away at the age of 93 in 2003. It was a big loss for our family, and I lost the best

Chinese teacher I ever had.


I graduated only high school, and then after that I went to Bangkok to study in

community college, since it gave me an opportunity for easy study without the need to

pass tests or examinations. I studied Thai literature and social sciences, but then changed

to political science after finding that I had greater interest in politics than literature.


I was not a good student there. I drank and fought sometimes, and my mother wanted

me to come back to my hometown to help her run the family business.


I love reading. I have read every book I could find since I was young, from cartoons to

serious literature like Pi Sard by Saeni Sowwapong. Finally, I found myself as a bookworm

from all that reading, and this made me want to communicate to the world in my own

words. At age 14 I started writing love poetry, you know, its a teenagers nature to love

and be loved. I kept writing until May 1992. That time was known as the Dark Day of May,

and my first poem was published then. Since that time, editors have accepted all of my

work. The first period of my professional writing was focused on Social Realism, as I

attempted to explain social structure within my poetry. After that I tried to insert

philosophy into my work. If you ask me which poetry I love the most, I can say truthfully

that I love it all. I love every one I have ever worked on.


Before I wrote the book, The worlds vision in my eyes, mostly I wrote about simple

peoples lives, because I believe in power of people. I believe in the bright side of humanity,

and I believe that every life can be beautiful.


If you ask me whether I am Thai or Chinese, I cant say that Im 100 percent one or the

other. I am the result of two nationalities mixed together to be me. As a man, we should

not belong to a native country, rather, we are people of the world. For me, all of us have

to transmigrate in the cycle of death and birth. Nothing belongs to us, nothing is stable or

certain, and everything will be back to Mother Nature eventually.


I am currently enjoying writing a short story using the same technique and theme as my

poetry. As an observer, I like to write about simple people that you can see everywhere,

but I try to make them more interesting through my own plots and ideas. Ive written a

novel about the Muslim community called Rusni; The Sad-Eyed Girl. Im currently editing

this novel, but let me tell you a few details about it. Its about a Muslim girl who lives in

Narathiwat, Thailand, where people are being killed every single day. What I want to say in

my novel is that I believe Buddhist and Muslim can live happily together in Thailands Muslim


provinces. I want to tell people in other parts of Thailand and around the world, that if we

rid our hearts of hate, with no religion and no nationality, then we can live peacefully

together in this part of Thailand. We have to see each other with new eyes, new thoughts,

and new visions, and we will find out how lovely humanity really is. So, no more

propaganda!





My work


- When the Tabaek is Blooming Poetry book, self-published, 2007. Seven book

awards.

  • The Galaxy is tumbling down. Poetry book, self-published, 2006. Seven book awards.
  • The Dreams Flower in the Rainy Season. Poetry book, Peaw Publishing, 1998.
  •  The Worlds Vision in my Eyes. Poetry book, Samanchon Publishing. SEA-Write Award, 2007.
  • The duckducks Manifesto. Articles and short stories, self-published.


    all my best wishes


    Mr. Montri Sriyoung


    Translator : Charoenkwan Prakthong Blacharski
Comment #1
Posted @28 มิ.ย.52 21.50 ip : 113...218

อันเนื่องมาจากไม่นานมานี้ ดร.จ้อง กับ ดร.ลิม(ซีไรต์มาเลเซียคนก่อนหน้าหลายปี) ได้มีโอกาสมาเยี่ยมผมที่ร้าน  โชคดีที่ ดร.ลิมพูดภาษาไทยได้บ้าง อีกทั้งมีอาจารย์จาก มอ.หาดใหญ่คอยช่วยแปล และมี ดร.พิเชฐ แสงทอง ไปเยี่ยมผมที่ร้านพอดี  เลยได้คุยกันสนุกสนาน

ดร.จ้องจึงเมล์มาสัมภาษณ์ผมเพื่อลงนิตยสารของ Universiti Putra Malaysia. (UPM) ซึ่งมีจัดจำหน่ายทั่วมาเลเซีย

ผมได้ขอให้ เจริญขวัญ นักเขียนสาวที่อยู่้อเมริกานานปีช่วยแปลให้ อีกทั้งได้ ตู๋ น้องชายที่น่ารักช่วยขัดเกลาคำบางคำให้เป็นทางการขึ้น  ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้


เห็นว่าผ่านมาร่วม 2 เดือนแล้ว น่าจะได้รับการตีพิมพ์ไปแล้ว จึงได้นำมาลงไว้ในเวบครับ  ข้างล่างคือคำถามครับ


Dear Mr. Montri, Thank you for your kind and warm welcome during my visit to your place last Sunday. I really appreciate the duck noodle you specially cook for me, and I like it very much. Hopefully I would have the second chance to enjoy it. I'm really attracted with your creative works, especially the theme you tried to raise which I think not only reveal your perception about the environment you engaged with, but also the meaning of the life itself. And I believed that your works in certain aspects have sucessfully revealed the lifelihood of the lower class in Thailand.
I would like to write something about you, introducing to the Chinese readers in Malaysia as well as internationally. Below are a few questions, and I hope we can further communicate through e-mail whenever I need more information:
1. Tell me about your personal details and your family as well. For example your ethnic of origin, your name, place of origin of your ancestor, education background etc.
2. How long have you engage in writing and why you write in the beginning?
3. How many books you have published? Each title and roughly the content.
- Hide quoted text -
4. How do you perceived yourself? A Thai writer or a Chinese Siamese writer?
5. Could you say something about the theme you like most and the reason you say so?
6. As 2007 SEA Write Award winner in the category of poem, could you name three poems you like most? Please provide me with the English translation if possible.
7. Tell something about your writing programme in future?

Thank you in advance for your reply.
Warm Regards,
Chong Fah Hing

Comment #2
Posted @28 มิ.ย.52 22.07 ip : 113...218
Photo :  , 2592x972 pixel 324,286 bytes

คนซ้ายมือคือ ดร. จ้อง ครับ

คนขวามือผมยาวสวมแว่น คือ ดร. ลิม กวีซีไรต์ แ

Comment #3
นายทิวา (Not Member)
Posted @30 มิ.ย.52 18.15 ip : 203...121

สวัสดี ขอรับ น้าหมี่ที่รัก แวะมาลงชื่อที่นี่อีกรอบ แหะ แหะ โกๆๆๆๆอินเตอร์

ปล. เอา 7 เล่มซีไรต์ ปีนี้ หมวด "นวนิยาย" มาฝากด้วย ขอรับ

7เล่มซีไรต์(นวนิยาย2552)

  1. โลกใบใหม่ของปอง ของ ไชยา วรรณศรี
  2. เงาฝันของผีเสื้อ ของ เอื้อ อัญชลี
  3. ทะเลน้ำนม ของ ชัชวาลย์ โคตรสงคราม
  4. ประเทศใต้ ของ ชาคริต โภชะเรือง
  5. โรงเรียนที่เงียบเหงาที่สุดในโลก ของ ฟ้า พูลวรลักษณ์
  6. วิญญาณที่ถูกเนรเทศ ของ วิมล ไทรนิ่มนวล
  7. ลับแลแก่งคอย ของ อุทิศ เหมะมูล

แหะ แหะ

สวัสดี ขอรับ

Comment #4
Posted @30 มิ.ย.52 21.21 ip : 118...106

ขอบคุณน้าทิวามากครับ  ทั้งที่มาช่วยเป็นหน้าม้า กับที่เอารายชื่อรอบสุดท้ายซีไรต์มาให้ชม


ทั้ง 7 เล่ม ล้วนไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่ ต่างมีชื่อชั้นอยู่ทั้งสิ้น  วิมล ไทรนิ่มนวล นี่ก็ซีไรต์จากนิยายเรื่อง อมตะ เมื่อหลายปีก่อน  ก็น่าจับตา เพราะเป็นรุ่นใหญ่ที่ฝีไม้ลายมือคงเส้นคงวาทุกเรื่อง

ชื่อที่ใหม่สุดใน 7 เล่มก็คือ อุทิศ เหมะมูน  คนนี้ถ้าจำไม่ผิดก็คือ เิดอะแหลม ที่เคยเข้ามาเที่ยวเล่นที่นี่อยู่บ้าง  ชื่ออุทิศนี่ เคยได้ยินพี่เวียงถึงกับออกปากชมไม่ขาด 


ไชยา วรรณศรี ก็เป็นนักเขียนอีสานที่อยู่ในวงการไม่น้อยกว่า10ปีมาแล้ว

เอื้อ อัญชลี นี่ต่อมาภายหลังเธอสนุกกับการเขียนคอลัมน์ในมติชน เกี่ยวกับสามก๊ก ฉบับของเธอเอง  แฟนเยอะไม่หยอกกับคอลัมน์ของเธอ

ชัชวาลย์ โคตรสงคราม คนนี้ก็เคยฮือฮากับรวมเรื่องสั้นของเขาเมื่อ 12 กว่าปีก่อน ที่พิมพ์กับแพรว

ชาคริต โภชะเรือง นี่ก็นักเขียนมือรางวัลช่อการะเกด ต่อมาหันมาสนุกกับการเป็นเอ็นจีโอ แต่ก็ยังมีเรื่องสั้นออกมาอยู่บ้าง

ฟ้า พูลวรลักษณ์ ชื่อนี้นามสกุลคงเป็นที่รู้จักของหลายคน เป็นคนแรกๆที่นำบทกวีแคนโต้เข้ามาบ้านเรา

รักใครชอบใครลุ้นกันเอาเองนะครับ

Comment #5
Posted @4 ก.ค.52 11.37 ip : 202...155

ผมขอลุ้น เดอะแหลม  ละกัน....อิ  อิ

แหมๆ รูปสามคนนั่น  ช่างเข้าเซ็ทกันดีจริงๆ นิ..555

Comment #6
Posted @4 ก.ค.52 17.27 ip : 118...40

น้าปภพครับ-

ทั้ง 7 เล่มนั้น ผมได้อ่านแค่ ประเทศใต้ เล่มเดียว


ซึ่งจะไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะยังไม่ได้อ่านเล่มอื่นๆเลย

แสดงความคิดเห็น

« 1430
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 51 user(s)

User count is 2429801 person(s) and 10181996 hit(s) since 18 พ.ย. 2567 , Total 550 member(s).