วางปังตอแล้วบินไปหาแดจังกึม
ทันทีที่ได้รับการติดต่อมาจากพี่อี๊ด ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ว่า
สนใจจะไปเกาหลีหรือไม่ ผมก็รีบตอบรับโดยไม่ลังเลแม้น้อยเพราะโอกาสอย่างนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก
สำหรับผม พี่อี๊ดจึงให้ผมติดต่อทางอีเมล์กับ อ.คิม ยอง แอ ซึ่งสอนวิชาภาษาไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัย
ฮันกุก การติดต่อเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะ อ. คิม สามารถใช้ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี สรุปเนื้อ
ความได้ว่า ทางเกาหลีจะมีงานอ่านบทกวีของกวีอาเซียนและกวีเกาหลีขึ้นในวันที่ 2-7 ธันวาคม
2553 นี้ ประเทศไทยได้รับเกียรติ 2 คนคือผมกับพี่ไวท์ ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ จากนั้นทางผู้จัดงานก็ขอ
เอกสารสำคัญเช่นพาสปอร์ต, Essay, และบทกวีที่ชอบ 4 ชิ้น บทกวีที่เพิ่งเขียนใหม่สด 3 ชิ้น โดยไม่
ลืมบอกเตือนให้เราจัดหาเครื่องนุ่งห่มที่สามารถต้านอุณหภูมิที่อาจจะติดลบได้ด้วย ผู้ที่มาจาก
เส้นศูนย์สูตรของโลกอย่างผม ได้แต่ตื่นเต้นและคาดหวังว่าหิมะคงจะตกในวันที่เราอยู่โซล
หาดใหญ่เพิ่งจะอยู่ในภาวะอลหม่านหลังน้ำท่วมหนัก และฝนที่ยังคงตกหนักไม่หยุดหย่อน ความ
กังวลใจว่าน้ำจะท่วมซ้ำอีกรอบเกิดขึ้นกับทุกคน เมฆฝนบนฟ้าขณะที่เครื่องบินอยู่ในระดับสูงนั้นหม่น
ดำน่ากลัวจริงๆ
เราถึงเกาหลีในช่วงเช้า แดดหม่นๆส่องมาทางกระจกหน้าต่าง ในใจผมเต้นตึกไม่เป็นจังหวะด้วย
ความตื่นเต้น จนเครื่องลงจอดสงบที่สนามบินอินชอล เราก็เดินเข้าไปที่ช่อง ต.ม. ทันที พี่ไวท์เดิน
ผ่านไปโดยสะดวก ในขณะที่ผมถูกคาดคั้นเอาหลายคำถาม แม้จะยื่นเอกสารหนังสือเชิญอย่างเป็น
ทางการก็ตามที เธอถามว่าไหนบทกวี? ในแฟ้มเอกสารนั้นมีบทกวีเป็นภาษาไทยของผม ในขณะที่
บทกวีที่แปลโดย ดร. ป๋วย อุ่นใจ นั้นอยู่ในกระเป๋าใหญ่ เธออ่านไม่ออก และคงไม่เชื่อว่าเป็นบทกวี จึง
ชี้ให้ไปที่ห้องสำนักงาน
ในห้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนสาละวนกับงานของตนเอง มีคนไทยเกือบๆ 10 คนนั่งหน้าแห้งอยู่ ผมนั่ง
ตรงข้ามเจ้าหน้าที่ผู้ชายเพื่อตอบคำถาม ด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นงูๆปลาๆ ทำให้เราสื่อสาร
กันยากยิ่ง ข้างๆมีพี่ผู้หญิงคนไทยนั่งตัวสั่นด้วยความตกใจ ต.ม. สาวกำลังสอบปากคำด้วยน้ำเสียง
หยาบคายก้าวร้าว เป็น ต.ม. ที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก เธอทั้งตะคอก ตวาด ขู่ พี่ผู้หญิงคนนั้น
อย่างรุนแรง ทั้งทุบโต๊ะ ชี้หน้า ฟาดเอกสาร ผมนั่งมองตาปริบๆ ต.ม. ค้นกระเป๋าถือของพี่ผู้หญิงคน
นั้น แล้วตะคอกถามว่าเอาเงินมาเท่าไหร่ ผมหันกลับมาให้ปากคำตามเดิมด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พร้อม
แจ้งว่าผมได้รับเชิญจากสำนักพิมพ์ที่จัดงานนี้ขึ้น งานนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวง
ต่างประเทศเกาหลี ในหนังสือเชิญมีแจ้งพร้อมสรรพพร้อมเบอร์ติดต่อในกรณีที่มีปัญหา ผมชี้ให้เขาดู
เบอร์ติดต่อทั้งสามเบอร์นั้น ในขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์ พร้อมเหลือบมองผมเป็นระยะ ผมก็นั่ง
สังเกตการทำงานของ ต.ม. เกาหลี เธอคนนั้นละจากพี่ผู้หญิงไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง และด้วยการใช้
ภาษามารยาทเช่นเดิม ผมไม่รู้ว่าคนไทย 10 คนนี้ หรือคนอื่นๆที่เข้าเกาหลีทำอะไรเอาไว้บ้าง แม้จะ
ได้ยินเสียงเตือนมาก่อนว่า ต.ม. เข้มงวดที่สุดโดยเฉพาะกับคนไทย ผมก็เข้าใจไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อเขา
เหล่านั้นยังไม่ปรากฏความผิดใด หรือมีประวัติเสื่อมเสียมาก่อน เขาเหล่านั้นต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ตาม
กฎหมายที่ใช้กันทั่วโลก และหากมีประวัติเสื่อมเสียจริง ทาง ต.ม. ก็ต้องใช้วิธีพูดที่ให้เกียรติและ
เคารพอย่างผู้เจริญแล้วพึงกระทำ เจ้าหน้าที่ให้ผมพิมพ์ลายนิ้วมือ ผมใช้นิ้วโป้งกดลงไป จึงได้รู้ว่าที่
นั่นใช้นิ้วชี้เป็นเกณฑ์ ผมถูกถ่ายรูปจากกล้องเบื้องหน้า ตอนนี้ท่าทีของเขาที่ปฏิบัติต่อผมเปลี่ยนไป
แล้ว เป็นมิตรขึ้น สุภาพขึ้น และเมื่อผมนั่งถ่ายรูปไม่ตรงเขาก็หัวเราะและขอให้ผมนั่งให้ตรงเพื่อถ่าย
ใหม่ สักพักเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถใส่กระเป๋ามาเกือบ 10 ใบ เขาเชิญผมเดินไปที่ประตู เปิดและโค้งคำนับ
ให้อย่างนอบน้อม เหลียวไปดูคนไทยเกือบ 10 คนนั้นอีกครั้ง เขาถูกส่งตัวกลับแล้วแน่นอน คณะรอ
รับอยู่กลางโถง เด็กหนุ่มสาวที่เป็น Moderator เดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมได้แต่ยิ้ม และบอก
ว่าสงสัยหน้าผมเหมือนโจรก่อการร้าย
กวีอาเซียนทุกคนรอผมอยู่ก่อนแล้ว เราแนะนำตัวและเดินไปขึ้นรถบัส เทพ- เด็กหนุ่มที่เป็น
Moderator กังวลว่าเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่อาจไม่สามารถต้านทานความหนาวของโซลได้ มองผ่าน
กระจกประตูออกไปก็เห็นอากาศขมุกขมัว ผู้คนใส่เสื้อหนาวตัวใหญ่หนาทั้งนั้น ผมเปิดกระเป๋าเพื่อหา
เสื้อกันหนาวมาสวมอีกชั้นพร้อมหมวกที่ปิดหู และพร้อมที่จะเดินทางไปยังกรุงโซล
พระราชวัง Gyeongbokgung ที่อ่านออกเสียงยากนี้เป็นสถานที่แรกที่เขาพาชม ใหญ่โต
โอ่อ่าสวยงาม เห็นขบวนทหารองครักษ์ในชุดนักรบเกาหลีโบราณเดินเป็นแถว โบกธงหลากสีอยู่บน
ลานกว้างหน้าพระราชวัง คณะผู้จัดงานเดินนำเราไปจนทั่ว ผมได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวพูดคุยภาษา
ไทยอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งเราเดินออกไปทางประตูหลังของพระราชวัง ที่นั่นมีจุดถ่ายรูปอาคารหลัง
หนึ่ง เทพบอกว่านั่นคือ Blue House. บ้านของประธานาธิบดี ก็คงเหมือนบ้านพิษณุโลกชองไทย น่า
ทึ่งตรงที่เขาจัดให้เป็นจุดท่องเที่ยว มีเจ้าหน้าที่อารักขาเข้มแข็ง เราสามารถชมและถ่ายรูปได้ในระยะ
ไกลที่เพียงแค่มองเห็นตัวอาคาร บนทางเท้ามีจุดกำหนดให้ยืนถ่ายตรงนั้น น่าแปลกใจก็ตรงที่มี
เหตุผลอะไรจึงให้เราไปเยี่ยมชม ? ค้นหาจากอินเทอร์เนตก็ได้คำตอบว่านั่นคือธรรมเนียมของคน
เกาหลี ที่จะต้องนำเราไปทักทายกับผู้นำของเขา แม้จะไม่ได้พบเจอตัวกัน ได้เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
สำหรับเราฟังดูก็แปลกๆ แต่นั่นหมายความว่าคนเกาหลีภูมิใจในตัวผู้นำของเขาไม่ใช่หรือ ? และยิ่ง
สะท้อนความเป็นชาตินิยมของเกาหลีออกมาเด่นชัดขึ้น หลังจากที่ผมสังเกตรถยนต์บนถนนล้วนแล้ว
มีแต่ยี่ห้อของเกาหลีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะฮุนได, เดวู, เกีย, ซันยอง ตลอด 7 วันที่นั่น ผมไม่พบรถญี่ปุ่นหรือ
ยุโรปเลย
มื้อแรกของเราเป็นร้านอาหารนั่งพื้น ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเกินหนุ่มภาคใต้ตอนล่างของไทย
อย่างผมจะทนได้ จึงรีบยัดตนเองเข้าไปในร้านเพื่อต้องการฮีทเตอร์ พื้นไม้ที่นำความร้อนมาจากไหน
ไม่ทราบ ทำให้รู้สึกสบาย แล้วกิมจิมื้อแรกของชีวิตก็ปรากฏต่อหน้า เคียงข้างด้วยผักดองอีกมากมาย
และนับแต่นั้น ผมก็พบกับกิมจิ, ผักดองเกาหลีทุกมื้อทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งมื้อเช้า ในขบวนกวีของ
เรามีกวีมุสลิมอยู่ 4 คน ผมไม่แน่ใจว่าบนโต๊ะอาหารมื้อนั้นมีเนื้อหมูหรือไม่ แต่เหล้าโซจูนั้นพร้อมให้ริน
เสมอ ในงานตอนค่ำ ทางคณะผู้จัดงานได้กล่าวขอโทษอาหารมื้อแรกของเรา เขาไม่รู้จริงๆว่ามุสลิม
ไม่กินหมูและเหล้า นี่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ หรือว่าผมคุ้นชินกับวิถีมุสลิมเอง ? สอบถามก็ได้ความว่า
เกาหลีใต้มีมุสลิมอยู่ 35,000 คนเท่านั้น และโต๊ะอิหม่ามก็คือมุสลิมที่มาจากปัตตานีนั่นเอง
ที่พักของเราทำให้ผมตะลึง โรงแรมหรูหราอ่าโอ่ชื่อ แกรนด์ ฮิลตัน โซล อยู่บนเนินเขาไม่สูงมากนัก
ทางคณะเปิดห้องสูทให้เรา มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องซักผ้า 1 ห้องรับแขก และ
ระเบียงที่ยืนมองอาคารอลังการของแกรนด์ ฮิลตัน ได้เต็มตา ผมไม่กล้าคำนวณค่าห้องว่าตกคืนละ
เท่าไหร่ จนถึงเวลาเปิดงานพร้อมอาหารค่ำในห้องประชุมของโรงแรม ผมได้พบกับ ดร.พิเชฐ
แสงทอง ที่ไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮันกุก ได้พบกับ อ. คิม และ อ. ติ๊ก
อาจารย์อีกคนที่ไปสอนอยู่ที่นั่น ผมขึ้นอ่านบทกวี ดอกฝัน ด้วยภาษาไทยตามที่ผู้จัดได้บอกกล่าว
ในการติดต่อกันก่อนหน้า แต่กวีมาเลเซีย มาร์ซรี สามารถตรึงคนฟังได้ชนิดที่เงียบกริบกันทั้งห้อง
ด้วยบทกวีภาษามลายู ที่ท่าทางการแสดงของเขาทำให้เรารับรู้อารมณ์ร่วมนั้นได้อย่างดี มีการ
พยายามจะให้ชาติอาเซียนรับเป็นเจ้าภาพต่อเนื่องเรียงกันไป แม้ผมจะเห็นดีด้วย แต่ก็เชื่อแน่ว่าเรา
ไม่สามารถจัดได้อย่างที่เขาจัด และไม่มีอาเซียนชาติไหนเลยที่จะกล้ารับปากข้อเสนอนี้ได้ คืนนั้น
จบงานด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผมเข้านอนและคาดหวังว่าพรุ่งนี้หิมะคงจะตก
ไม่มีหิมะ ผมตื่นเช้ามืดตามความเคยชิน มองนาฬิกาข้อมือพบว่าเป็นเวลา 7 โมงเช้า แต่ท้องฟ้าไม่
ได้บอกผมเช่นนั้น จึงนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้เลื่อนเข็มนาฬิกาให้เร็วไปเกือบๆ 2 ชั่วโมง ลมหนาวตี 5
ของโซลตรงระเบียงห้อง หนาวจนฟันกระทบกันกุกกักๆ กลับเข้าห้องแล้วจดบันทึกในสมุดจน 7 โมง
เช้า ก็ได้เวลามื้อแรกและเตรียมตัวเดินทางไปยังสถานที่ที่ได้กำหนดเอาไว้แล้ว รสชาติอาหารเกาหลี
ไม่คุ้นลิ้นเอาเสียเลย แม้กระทั่งกาแฟที่บริการในโรงแรมชั้นหนึ่ง ผมตักข้าวต้มแล้วโรยสาหร่ายลงไป
เหลียวหาน้ำปลาซิอิ๊วก็ไม่มี จึงแน่ใจได้ว่าที่นั่นไม่กินเค็ม กิมจิและผักดองของเขาก็มีรสชาติแปลก
ปะแล่ม ไม่เค็มเหมือนเกี่ยมฉ่ายของเรา ไม่เปรี้ยวเหมือนผักเสี้ยนดองบ้านผม และไม่หอมเหมือน
สะตอดองเลย (ฮา)
ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการและตรงเวลา รถบัสเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมเพื่อไปยัง Jogyesa<br />
Conference Hall. กิจกรรมที่นั่นคือการอ่าน Essay พี่ไวท์ขึ้นเวทีนี้พร้อมกับกวีเวียดนาม, พม่า และ
เกาหลี โดยมีการ Discussion จากนักวิจารณ์วรรณกรรมของเกาหลี พอตกช่วงบ่ายก็เป็นการอ่าน
Essay จากกวีมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และเกาหลี ซึ่งก็มรการ Discussion เช่นกัน
เรากินอาหารค่ำที่นั่น กิมจิและผักดองเช่นเคย มีการอ่านบทกวีและการแสดงประกอบบทกวีในชุด I
see you, Asia over the rainbow. ตามด้วยบทกวีจากกวีพม่า, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และ
บรูไน เราเดินทางกลับโรงแรมท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บยิ่งขึ้น สักพัก Mr. Jang Moo Ryeong.
แม่งานมาพร้อมกับ Moderator ล่ามสาว เพื่อมอบเงินจำนวน 550 ดอลลาร์สหรัฐให้ คืนนั้นผมนัดกับ
ดร.พิเชฐ แสงทอง ที่จะมาพร้อมกับ คุณพัลลภ สามสี เพื่อตระเวนราตรีโซลกันท่ามกลางอากาศที่ -2
องศา!
พิเชฐ,พัลลภมาพร้อมกับเด็กหนุ่มเกาหลีลูกศิษย์อาจารย์พิเชฐที่พูดไทยได้ดีมาก เราเรียกเขาว่า
โดม นั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานที่ไหนไม่ทราบ ร้านรวงผับบาร์เปิดกันคึกคัก เด็กหนุ่มสาวเดินกันเต็ม
ถนน เราทำตัวกลมกลืนไปกับชาวเกาหลีโดยทันที หลังจากเข้าร้านอาหารที่จะทำให้อิ่มท้องแล้ว เรา
ก็ตกลงจะไปนั่งดื่มกันในสักที่ เดินผ่านร้านที่เป็นห้องเล็กๆจำนวนมาก เปิดเพลงลั่นสนั่นออกมากลบ
ถนน โดมเข้าไปถามว่าร้านปิดแล้วหรือยัง ด้วยเป็นเวลาเที่ยงคืนเข้าแล้ว ก่อนจะเดินยิ้มมาบอก
อาจารย์พิเชฐว่าที่นั่นรับแต่วัยรุ่น (ฮา) และนั่นทำให้รู้ว่าผมไม่สามารถกลมกลืนไปกับชาวเกาหลีได้
เลย ผมเพิ่งรู้ว่าความหนาวสามารถฆ่าคนได้อย่างไร แม้จะห่อตัวด้วยเสื้อผ้าหนาหลายชั้น ถุงมือหมวก
แต่ความหนาวก็ยังทะลวงซึมเข้าไปแตะต้องผิวเนื้อได้อยู่ ผมหาจมูกไม่เจอ หนาวจนจมูกเย็นชาไป
หมด หายใจแต่ละครั้งมีไอออกมาเหมือนในหนังฝรั่ง และหากร่างกายอบอุ่นไม่พอ เลือดก็คงจะจับตัว
แข็งไปทันที
เกาหลีสร้างชาติได้อย่างไรในเวลาเพียง 20 ปี ? เหตุการณ์เกาหลีเหนือยิงถล่มเกาหลีใต้ก่อนที่เรา
จะไปไม่กี่วัน เราเห็นรัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพียงเพราะไม่ตัดสินใจ
ตอบโต้ เทพ Moderator บอกกับผมว่าหากรบกันจริงนั้น อเมริกากับไทยต้องส่งกองกำลังไปช่วยรบ
แน่นอน นั่นเป็นความเชื่อของเขา กองทหารไทยที่เคยรบในคาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นที่จดจำของ
พวกเขามารุ่นต่อรุ่น ที่เมือง Sokcho ผมเห็นรถทหารวิ่งเป็นระยะ เห็นขบวนรถถังวิ่งสวนมาจนเราแตก
ตื่นกันทั้งคัน ผมไม่ตอบเทพว่าทหารไทยจะไปช่วยหรือไม่ แต่เลี่ยงไปตอบว่าเกาหลีใต้มีการพัฒนา
ในทุกด้านแล้ว และการฝึกซ้อมรบกับอเมริกามายาวนานนั้น เชื่อได้ว่าศักยภาพและเทคโนโลยี่ทาง
ทหารนั้นไม่เป็นรองเลย หากเส้นองศาที่ 38 ถูกทำลายเหมือนกำแพงเบอร์ลิน เกาหลีหนึ่งเดียวอาจ
จะยิ่งใหญ่เช่นที่เยอรมันเป็นก็ได้
มีเรื่องหนึ่งที่สร้างความแปลกใจให้แก่เรายิ่ง ในช่วงแวะกินมื้อเที่ยง (กิมจิ, ผักดอง) ระหว่างทางจะไป
มหาวิทยาลัยศิลปะ-วัฒนธรรม Seoul Institute of Arts. ตรงสี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งเลยนั้น เราเดินข้าม
ถนนโดยไม่รอสัญญาณไฟเขียวคนข้าม นั่นทำให้ผู้จัดงานตกใจมาก และรีบตะโกนบอกให้เราเดิน
ย้อนกลับไปยังฝั่งเดิมเพื่อรอไฟเขียว อีกครั้งในช่วงมื้อค่ำก่อนเราจะกลับประเทศ รถบัสจอดตรงข้าม
ร้านอาหารที่เราจะไป ถนนเงียบเหงาไม่มีรถวิ่งสักคัน เขานำเราเดินย้อนกลับไปประมาณ 200 เมตร
เพื่อรอไฟเขียวคนข้ามแล้วย้อนกลับมาเพื่อไปร้านอาหาร มันบอกอะไรเราได้บ้างไหมครับ?
นิตยสาร Vote