แด่เด็กหนุ่ม

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @23 ก.ย.54 21.24 ( IP : 101...234 ) | Tags : เรื่องสั้น-ความเรียง

แด่เด็กหนุ่ม

เย็นในฤดูมรสุมหนึ่ง เรา- ผมกับเพื่อนอีก 3-4 คน ต่างกระโจนลงน้ำด้วยความคะนอง ผมว่ายออกไปเรื่อยๆสู่ความเวิ้งว้าง ท่ามกลางเสียงเรียกกลับและตะโกนเตือน ครั้นเหลียวหลังกลับก็ต้องใจหายวาบเมื่อมองฝั่ง ระยะทางนั้นไกลเกินกว่าแรงที่เหลือจะกลับถึง ผมตัดสินใจดำลงไปใต้น้ำแล้วโผล่ขึ้นมาหายใจ จนเมื่อมือสัมผัสกับทรายจึงได้รู้ว่าปลอดภัยแล้ว ผมใช้มือจิกผืนทราย แล้วลากตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้า และขึ้นฝั่งที่ห่างจากจุดตอนลงเล่นน้ำไปหลายสิบเมตร วัยหนุ่ม วัยที่ทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง ผมเคยตะลึงกับลูกนิ้วของริชชี แบล็กมอร์ ที่ไล่สเกลบนกีตาร์ เคยนิ่งจังงังกับภาพที่มาราโดนาเลี้ยงฟุตบอลครึ่งสนาม หลายต่อหลายคนที่สร้างความมหัศจรรย์ให้โลกตะลึงได้ด้วยวัย 20 กว่าปี  เช่นกัน ที่ผมพบเห็นการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวสยดสยองของคนอายุ 20 ต้นๆ  มันเป็นพลังที่พวยพุ่งออกมาจากเรี่ยวแรงแห่งวัยอันสดใหม่ เรี่ยวแรงที่ถูกใช้ไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งจะชั่วหรือดีขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของคนผู้นั้นเอง ย้อนคิดกลับไปตอนเขียนหนังสือใหม่ๆ ความอยากได้ชื่อว่านักเขียนมันถั่งท้นจุกอยู่ในทรวงแทบทะลัก ผมอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง อ่านอย่างหิวกระหายกับเรื่องราวต่างๆ การรับรู้โลกกว้างที่ไม่เคยพบเห็นทำให้ผมจ่อมจมอยู่ได้เป็นคืน วัยขณะนั้น 20 กว่าๆ ผมอ่านหนังสือจนเลยเวลานอน ครั้นหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย เพียง 2-3 ชั่วโมงก็ต้องลุกมาทำงานเตรียมตั้งร้าน ทั้งวันกับความเหน็ดเหนื่อยนั้น เมื่อเก็บร้านเสร็จในเวลาเย็น ผมก็ยังมีแรงอ่านหนังสือต่อจากเมื่อคืนได้อีก เช่นนี้เป็นปีๆ ปีแล้วปีเล่า จนหลงลืมเวลาว่าโลกผ่านไปแล้วเกือบ 10 ปี มิอาจตอบได้ว่าหนังสืออะไรที่ผมอ่าน หากจะประเมินคร่าวๆในขณะนั้นผมเรียกหนังสือเหล่านั้นว่าหนังสือฝ่ายซ้าย ซึ่งการกระจัดกระจายหลายหลากของมันและการค้นคว้าเพียงลำพังของผม ย่อมมีความสะเปะสะปะเจือปนอยู่ไม่น้อยเลย ขณะนั้นผมรู้สึกหงุดหงิด เมื่อหยิบเล่มที่คิดว่าน่าจะซ้ายมากกว่าที่เคยอ่าน แล้วปรากฏว่ามันไม่ใช่ หาดใหญ่มีร้านหนังสือใหญ่ๆขณะนั้นเพียงไม่กี่ร้าน ผมเดินเข้าออกหยิบพลิกเปิดดู คำนำเป็นสิ่งแรกที่ผมกระหายรู้ว่าเนื้อในคืออะไร ละเลียดเล็มอ่านอย่างดื่มด่ำจนรู้สึกว่าสายตาเจ้าของร้านจับจ้อง นั่นแหละที่ผมจะควักเงินออกมาจ่ายเพื่อครอบครอง ชีวิตในขวบปีแห่งการอ่านวรรณกรรม  ผมไม่รู้จักใครเลยไม่ว่านักเขียนหรือเพื่อนนักอ่าน พบเจอคนบางคนเข้าออกร้านหนังสือบ่อยๆจนคุ้นตา แต่ก็ไม่ได้พยายามที่จะทำความรู้จักพูดคุย ผมเกรงว่ารสนิยมการอ่านของเราจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และพูดคุยด้วยลำบาก ผมค่อนข้างไว้ตัวเมื่อพูดถึงหนังสือที่ชอบสักเล่ม “ปีศาจ” ของ “เสนีย์ เสาวพงศ์” “ท๊อปบูธทมิฬ” ของ “แจ๊ก ลอนดอน” “แม่” ของ “แมกซิม กอร์กี้” “ผลพวงแห่งความคับแค้น” ของ “ จอห์น สไตน์เบก” โอ้ ไหนจะ “นายผี” “จิตร ภูมิศักดิ์” อีกล่ะ “รมย์ รติวัน” “อิศรา อมันตกุล” เรื่อยไปจนถึง “The communist manifesto” “ว่าด้วยทุน” แล้วผมก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังเลื่อนไหลไปสู่ความคิดเช่นนั้น และเกิดความไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมจะคุยเรื่องหนังสือกับคนอื่น เราจะพูดคุยไปในทิศทางเดียวกัน ครั้นเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 อุบัติขึ้น ดวงตาผมลุกโชนด้วยเพลิงแค้น ความเกลียดชังหลั่งไหลทะลักท่วมท้นหัวใจ ผมออกไปร่วมชุมนุมที่สถานีรถไฟ ตะโกนก่นด่าเผด็จการทหารที่บังอาจใช้อาวุธเข่นฆ่าประชาชนของผม สิ่งที่ผมทำได้ก็คือเขียนมันออกมา เขียนออกมาด้วยหัวใจรุ่มร้อนโกรธแค้น คำใดที่สาปแช่งกี่คำผมขุดขึ้นมาใช้ในเนื้องาน และตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ถาวรกับเผด็จการทุกรูปแบบ ปี 2536 บทกวีผมหลั่งไหลสู่สายตาสาธารณชนต่อเนื่อง ผ่านทางนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ต่างๆ ผมอ่านวรรณกรรมหนักยิ่งขึ้น และจมตัวเองลงในหนังสือนาๆเล่มอย่างกระหายหิว
ความรู้สึกเมื่อเห็นงานและชื่อปรากฏในนิตยสารนั้น ยากที่จะบรรยายให้เป็นรูปธรรมได้ ผมซื้อและนั่งอ่านงานของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามค้นหาข้อบกพร่องของมัน ซึ่งมักจะพบว่ามีเยอะเหลือเกิน เรี่ยวแรงกวีหนุ่มคนหนึ่ง ถูกใช้ไปกับการคิดหาประเด็นเรื่อง ใช้ไปกับการเดินเรื่องอย่างละเมียดละไมที่สุดตามบริบทที่กำหนดไว้ ผมเคยใช้เวลาที่มีน้อยนิดในแต่ละวันเขียนขึ้นมา 3 ชิ้น สั้นบ้างยาวบ้างตามแต่เนื้อเรื่องและความรู้สึก เคยเขียนรวดเดียวจบในบทกวีมากกว่า 30 บทต่อ 1 ชิ้นงาน ผมมองทุกอย่างเป็นบทกวี เสียงทุกเสียงที่ได้ยินคือท่วงทำนองและจังหวะ ผมแก้งานแล้วแก้งานอีกอย่างไม่รู้เบื่อ จนผมกับบทกวีเป็นเนื้อเดียวกันแนบแน่น
ช่วงวัยหนุ่มของผมหายไปจากเพื่อนฝูง นานๆพบเจอกันแต่ละครั้ง ผมรู้สึกประดักประเดิก การพูดคุยในวงสนทนานั้นผมตามไม่ทันสักเรื่อง แล้วผมเลือกที่จะเร้นกายหายออกจากมิตร แอบตนตามลำพังอยู่กับหนังสือที่กองพะเนินเทินทึกท่วมหัว จนเมื่อชีวิตย่างเข้าวัยกลางคน เราไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ในโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้ประทานเขานอเขี้ยวเล็บมาให้เรา การรวมกลุ่มจึงเป็นกฎธรรมดาที่เราดำเนินไปตามวิถี เพื่อป้องกันตนเอง และเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเราแต่ละคน ผมเก็บหนังสือแล้วเดินไปหาเพื่อนฝูงอีกครั้ง เปิดตัวการกลับมาอีกครั้งให้พวกเขาเห็น ผมเดินสู่ถนนให้โลกรับรู้ สายตาที่มองโลกของผมไม่เป็นปฏิปักษ์กันอีกต่อไป ผมรับรู้ว่าสรรพสิ่งมีความขัดแย้ง ไม่ว่าจะมองด้วยคติพุทธหรือมาร์กซิสต์  ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาโลกที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อรวมบทกวีเล่มแรกออกมา “ดอกฝัน: ฤดูฝนที่แสนธรรมดา” พิมพ์กับ แพรวสำนักพิมพ์ ปี 2541 นั้น คำว่านักเขียน, กวีที่เคยเหนียมอายเมื่อใครเรียก ก็กลับเป็นความปลาบปลื้มปีติใหญ่หลวงเกินจะอธิบายได้ ความเชื่อมั่นในเรี่ยวแรงยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม ผมก้มหน้าก้มตาทำงานควบคู่ไปกับการมีชีวิตในโลกที่เป็นจริง หลายสิ่งที่เคยเชื่อมั่น หลายสิ่งที่เคยใฝ่ฝัน โลกที่เป็นจริงเบื้องหน้านี่แหละที่กระตุกเตือนให้พิจารณาใหม่อีกครั้ง โลกที่อยู่เบื้องหน้านี่แหละ หลายคนที่ไม่รู้ตัวว่าตนมีศักยภาพเพียงพอต่อสิ่งหนึ่ง จนกว่าจะมีอะไรสักอย่างมากระทบกระตุ้นเตือนหรือบอกกล่าวให้ตนตื่นรู้  เมื่อนั้นความสามารถที่ถูกแฝงเร้นในวิญญาณก็จะฟูฟ่องขยายใหญ่ครอบคลุมเรา กำหนดวิธีคิดทิศทางการใช้ชีวิตของเราขึ้นมาในบัดดล คือการมีชีวิตขึ้นใหม่จากชีวิตที่มีอยู่ คือการทลายเปลือกดักแด้ออกทิ้งแล้วสยายปีกเป็นผีเสื้อ คลี่ปีกอวดลายสีแล้วโบกบิน เหนือยอดหญ้าลู่ลม กลางท้องทุ่งเขียวขจี หรือแม้อาจจะมีคนใจร้ายคนหนึ่ง มาเด็ดปีกผีเสื้อแสนสวยของเราทิ้งก็ตาม ผมขึ้นต้นเรื่องด้วยการกระโจนลงทะเลหน้ามรสุม และดำผุดดำโผล่เพื่อตะเกียกตะกายกลับฝั่งเอาชีวิตรอด  วัยในปัจจุบันนี้ผมพบว่าเรี่ยวแรงวัยหนุ่มเป็นพลังขับเคลื่อนที่เปี่ยมสมรรถภาพสูงสุด แต่วัยหนุ่มมักหลงลืม “สติ” ที่จะต้องคอยกำกับเอาไว้ตลอดเวลา ความเชื่อมั่นในเรี่ยวแรงวัยหนุ่มนี่เอง ที่บางครั้งก็ทำให้เรามุทะลุ ไม่มีความอดทนเพียงพอต่ออะไรก็ตามที่ไม่พึงพอใจ
มีเด็กหนุ่มจำนวนมหาศาลที่กำลังกระโจนลงทะเลหน้ามรสุม เราตะโกนเรียกพวกเขากลับฝั่งด้วยเสียงที่ดังที่สุด เราก่นด่าสาปแช่งเมื่อพวกเขาไม่ใส่ใจ และปล่อยเขาลอยคอเท้งเต้งตามยถากรรมในทะเลที่ลึกสุดหยั่งเท้า
วันนั้นผมกลับเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย มันเป็นชัยชนะสำคัญยิ่งของวัยหนุ่ม คือความภาคภูมิใจที่ได้ล้อเล่นกับโชคชะตา ผมโชคดีที่ได้รับการให้อภัยในความดื้อรั้น โชคดีที่ได้รับโอกาสในการเหยียบยืนบนฝั่งได้เต็มเท้า ผมเชื่อว่าทั้งริชชี แบล็กมอร์ และมาราโดนา ล้วนเคยกระโจนลงทะเลหน้ามรสุมมาก่อนแล้ว เรามองเด็กหนุ่มเหล่านั้นอีกครั้งสิ พวกเขาแค่กำลังล้อเล่นกับโชคชะตาด้วยความเชื่อมั่นในเรี่ยวแรง เอาใจช่วยพวกเขาให้กลับฝั่งอย่างปลอดภัยสิ หรือเราหลงลืมวันที่เราเคยกระโจนลงทะเลเสียแล้ว?

Comment #1
Posted @24 ก.ย.54 12.05 ip : 125...34

จะมีเด็กหนุ่มสักกี่เปอร์เซ็นต์หนอ ที่จะกลับขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย

หากพลกำลังเพียงพอ แต่ปัจจัยแวดล้อมไม่เป็นใจ ...

แวะมาอ่านเรื่องสั้น ดี ๆ ในวันหยุดพักผ่อนค่ะ  :d

Comment #2
Posted @25 ก.ย.54 16.40 ip : 119...186

ไม่เจ็บก็ไม่จำ  แต่บางที เจ็บแล้วก็ยังไม่จำ..
คำเมืองเปิ้นว่า "หลึก" นะเจ้า ^^

มองย้อนกลับไป 20 ปีก่อน เหมือนผ่านมาไม่นาน
น่าใจหายเหมือนกันนะ  ที่แล้วมาเราทำอะไรบ้าง
มันว่างเปล่า จริงๆ....

พอจะเข้าใจขึ้นมาอีกนิด กับคำพระที่ว่า
ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ  นึดเดียวนะ
ยังเข้าใจไม่เยอะ กิเลศยังหนา ปัญญายังทึบ  #)

Comment #3
Posted @4 ต.ค.55 11.45 ip : 110...19

คนที่ช่างอ่าน จะเป็นคนช่างคิดเสมอ ไม่ว่าจะเสียเวลาไปเท่าไหร่กับการอ่าน เวลาเหล่านั้นจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน  ;)

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 5 user(s)

User count is 2260627 person(s) and 8848596 hit(s) since 29 มี.ค. 2567 , Total 550 member(s).