มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์
มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ ๑). แม่เล่าว่าตอนท้องข้าพเจ้า แม่ฝันเห็นสร้อยคอทองคำเส้นเบ้อเร่อ เบ้อร่า เหลืองอร่ามเรืองรองอยู่จับตาตรึงใจ แม่ถืออยู่ในอุ้งมืออย่างมีความสุข และกำมันไว้แน่นแนบทรวงอกอยู่อย่างนั้น& ๒). ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์เปิดทำการมาตั้งแต่ปายังหนุ่ม แรกเริ่มเดิมที จริงๆนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าปาเคยขายอะไร ที่ไหน อย่างไรมาก่อน ได้ยินได้ฟังแกเล่าหนหลังก็เมื่อข้าพเจ้าเลิกเกเรเกตุงและเลิกเรียนหนังสือไปนานพอควรแล้ว จึงปะติดปะต่อไม่ได้ใจความอะไรมากมายนัก รู้แต่ว่าพอลืมตามาร้องอุแว้ๆ ถัดจากหน้าปาหน้าแม่ หน้าพี่ทั้งสองและหน้าน้าๆนับสิบ ก็เป็นหน้าแปลกๆพิลึกๆปากแบนยาวของเป็ดนี่แหละ แล้วข้าพเจ้าก็หลงรักเป็ดโดยไม่รู้ตัว! ๓). เราโยกย้ายมาปักหลักที่ถนนละม้ายสงเคราะห์นี้ประมาณปี ๒๕๓๔ อยู่ใกล้กับโรงเรียนแสงทองวิทยาและโรงเรียนศรีนคร ทุกเช้า-ผู้ปกครองจะพานักเรียนมากินหมี่ก่อนไปโรงเรียน ส่วนใหญ่จะเป็นชั้นประถมที่ซุกซนเหลือกำลัง พวกเขาจะเดินเข้ามาในร้านอย่างคุ้นเคย นั่งประจำที่ดั่งนั่งในห้องเรียน ส่งเสียงพูดคุยจ้อปากและบางคนก็ซนเป็นลิง สลับกับเสียงคุณแม่ของพวกเขาที่คอยดุด่าว่ากล่าวเมื่อเห็นลิงมันซนกันนัก ก็มีบ้างที่คุณพ่อคุณแม่บางคนปล่อยปละละเลย ด้วยอาจเห็นว่าวัยของพวกเขาย่อมซุกซนเป็นธรรมดา ข้าพเจ้านี่แหละที่จำเป็นต้องดุแบบนิ่มๆงามๆ อาจถึงขั้นต้องเอ็ดตะโรเมื่อเห็นว่าข้าวของในร้านท่าจะเสียหาย และหลายครั้งที่ข้าพเจ้าลงมือฟาดเบาะๆ โดยนัยยะสื่อไปยังผู้ปกครองว่าคุณปล่อยลูกคุณเกินเลยไปมากแล้ว น้ำตาล , ถั่ว ,พริกป่น เด็กช้อนเอามาใส่รวมกันแล้วคุณไม่เห็นหรือ? นั่นมันของกินของเข้าปาก ไม่ใช่ของให้เด็กเล่น เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ที่คุณจ้องแย่งจากโต๊ะอื่นซะบ้างสิ โตมาจนป่านนี้มีลูกมีเต้าได้ยังไงกันจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย& ฟาดเสร็จข้าพเจ้าก็ขยี้หัวเด็กเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนหันไปยิ้มให้ผู้ปก ครองเด็กอย่างเปี่ยมด้วยความหวังดี
แหละเก้าอี้ไม้ทรงสูงที่มีเพียงตัวเดียวในร้านนี่สิ มันกลายเป็นเก้าอี้ ดนตรีสำหรับเด็กเล็กไปทุกเช้า สงครามจิตวิทยาสงครามประสาทเริ่มต้นขึ้นด้วยการวิ่งไปจับจองเก้าอี้สูง ก่อนบอกผู้ปกครองหรืออาจเป็นข้าพเจ้าให้ช่วยยกไปให้ที่โต๊ะ ในขณะที่เด็กเล็กคนที่วิ่งไปเอามือแตะเก้าอี้ไม่ทันได้แต่ยืนหน้างอ มองหาข้าพเจ้าอย่างขอความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจนใจที่จะเอาเก้าอี้ตัวนั้นให้เด็กคนนั้นได้ กติกามันมีอยู่ และเด็กคนที่วิ่งไปแตะไว้ก่อนนั้นเท่านั้นที่สมควรแก่การนั่ง ทำได้ก็เพียงยิ้มปลอบใจว่าวันหลังค่อยมาแย่งใหม่ วันหลังจะต้องเป็นผู้ชนะ เพราะผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้ปีนเก้าอี้ทรงสูงขึ้นไปนั่งเป็นสง่า วันนี้หนูแพ้แล้ว หนูต้องยอมรับความพ่ายแพ้นี้ให้ได้ จากหน้างอๆมองหาความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ใจดีสักคนนั้น ปาก เล็กๆบางๆก็เริ่มเบ้ หยาดน้ำตาจะออขังรอหลั่งลงมารดแก้มยุ้ยๆ แล้วเสียงร้องไห้โวยวายก็แผดลั่นสนั่นร้าน เสียงดุเสียงปลอบอย่างใดไร้ผลโดยสิ้นเชิง ท่านเคยได้ยินเสียงเด็กที่ร้องไห้แผดกรีดด้วยความเสียใจอย่างที่สุดไหม? มันบาดลึกเข้าไปในก้อนเนื้อหัวใจผู้ใหญ่อย่างทรมานบัดซบเลยเชียวล่ะ นอกเสียจากท่านจะเป็นผู้ใหญ่บัดซบเท่านั้น ที่อาจจะเฉยเมยหรือกระทั่งรำคาญได้ลงคอ ในขณะที่ข้าพเจ้ายกเก้าอี้ตัวนั้นโดยมีผู้ชนะนั่งยิ้มยินดี ข้าพเจ้ามิกล้าเหลือบตาเหลียวมองใบหน้าอันรวดร้าวของผู้แพ้ได้เลย เสียงสะอื้นด้วยความเสียใจเป็นล้นพ้น ดวงตาน้อยเนื้อต่ำใจที่ยังคงอ้อนวอนร้องขอ ข้าพเจ้าเอาเก้าอี้พลาสติคมาซ้อนๆกันให้สูง แทนทดชดเชยเก้าอี้ไม้ที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในร้าน น่าแปลกที่พวกเขาไม่เคยใยดีมันแม้น้อย-สักคนเดียว! โน่น-เก้าอี้ไม้ทรงสูงตัวนั้นต่างหากที่พวกเขายังจ้องมองมันอยู่ไม่วางตา แม้กระทั่งเมื่อคุณแม่ป้อนหมี่เข้าปาก เขาก็ยังสะอื้นพลางอ้าปากเคี้ยวกลืน ข้าพเจ้าสะเทือนใจยิ่งนัก และผู้แพ้นั้นแหละที่มักจะได้ไก่กับหมูแดงมากกว่าปกติ-เสมอ กระนั้นก็ตาม-ข้าพเจ้ามักจะยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นเด็กเล็กๆวัย ไม่กี่ขวบร้องไห้ เพื่อจะแย่งเก้าอี้ที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในร้าน&&ข้าพเจ้ามีความสุขจริงๆ
เพราะที่จริงแล้ว- มันไม่ใช่แค่เก้าอี้ไม้ทรงสูงราคาถูกๆอย่างที่มัน
เป็นเลย มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่เพียงอันเดียวในร้านเล็กๆแห่งนี้ และเด็กเล็กเหล่านั้นรู้ว่ามันมีไว้สำหรับพวกเขาเท่านั้น ความพิเศษนี่แหละที่กลายเป็นของวิเศษให้เด็กๆปรารถนา ให้พวกเขายึดเหนี่ยว ให้พวกเขาภาคภูมิ มันเป็นทิพยรสอีกชนิดหนึ่งในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์! นึกภาพดูสิ-เด็กน้อยนั่งเก้าอี้ไม้ทรงสูง ที่โต๊ะอยู่ในระดับเดียวกับการกินได้พอดีเป๊ะ! เขาสามารถเอื้อมมือไปดึงทิชชูมาเช็ดปากได้เองเมื่อคุณแม่บอก เขาสามารถเอื้อมไปคว้าแก้วน้ำอ้อยมาดื่มได้เองเมื่อกระหาย ก่อนจะปรายตามองไปยังผู้แพ้อย่างเหยียดๆ เมื่อเห็นพวกเขาร้องบอกคุณแม่ให้ส่งแก้วน้ำเหมือนเด็กไม่รู้จักโต!
การเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่อันเดียวนี่แหละ คือความวิเศษสุดพิเศษ
พิศดารนัก และการเป็นความวิเศษสุดพิเศษพิศดารนี่แหละ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการมีตัวตน รับรู้รสแห่งชัยชนะ และอาจจะหวนรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ในวันที่เขาแพ้ ความรู้สึกสองฝ่ายนี้จะติดตรึงเข้าไปยังก้นบึ้งพวกเขานับนาน ข้าพเจ้าคาดหวังว่าเขาคงจะยังจำได้ดีถึงความรู้สึกปลื้มปีติ และความรู้สึกรวดร้าวเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาคงไม่ลืมดวงตาปวดร้าวของผู้แพ้ที่เขาเองก็เคยผ่านพบมาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อมันจะกลายเป็นดวงตาเมตตาและรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในวันที่เขาเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ
ข้าพเจ้าไม่เชื่อเด็ดขาด หากใครจะบอกว่านั่นเป็นการสอนเด็กให้
เห็นแก่ตัว ทะเยอทะยานอยากได้จนกล้ากระทำการใดใดได้แม้ผู้อื่นจะเสียใจ อย่าลืมสิ-พวกเขาก็เคยพ่ายแพ้มาด้วยกันทั้งนั้น กว่าพวกเขาจะโตพอนั่งเก้าอี้พลาสติคได้ เขาต้องผ่านความพ่ายแพ้กันมาคนละเท่าไร? และจะเป็นผู้ชนะกันได้แค่คนละกี่ครั้ง? เราควรจะแสดงความหวังดีต่อพวกเขาให้น้อยลงสักนิด ควรเลิกเอาระบบวิธีคิดแบบผู้ใหญ่ โดยเฉพาะแบบผู้ใหญ่ที่สิ้นคิดไปใช้กับเด็ก เพื่อปล่อยให้พวกเขาเติบโตตามธรรมชาติตามวัย เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเอง ให้พวกเขาเคี้ยวและย่อยเองบ้าง ก่อนจะเป็นอัมพาตระบบทางเดินอาหาร ไม่มีเด็กกล้าหาญคนใดจะไม่แย่งชิง เช่นเดียวกับไม่มีเด็กกล้าหาญคนใดจะไม่หวงแหนมิใช่หรือ? ทั้งท่านแหละทั้งข้าพเจ้านี่แหละ ที่จะต้องบอกเด็กด้วยภาษาง่ายๆที่พวกเขาฟังเข้าใจ ว่าเราแพ้ก็เพื่อให้รู้จักความชนะ และชนะก็เพื่อให้เข้าใจความพ่ายแพ้ เป็นคำถามสำหรับท่านแหละทั้งข้าพเจ้าโดยแท้ว่าจะบอกพวกเขาอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงมักจะยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นเด็กเล็กๆนั่งเป็นสง่าบน
เก้าอี้ไม้ทรงสูงแล้วยิ้มอย่างปีติยินดี และนี่คือเหตุผลที่ข้าพเจ้าไม่ซื้อเก้าอี้สูงมาเพิ่มแม้แต่สักตัวเดียว
๔).
จำได้ว่า-ร้านแรกที่ปาเปิดขายหมี่เป็ดนั้น อยู่หน้าโรงหนังโอเดียน
ที่ปัจจุบันรื้อทิ้งกลายเป็นศูนย์การค้า และย่านท่องเที่ยวช้อบปิ้งสำหรับชาวต่างชาติไปเสียแล้ว จากนั้นก็ย้ายไปที่ตลาดกิมหยงก่อนจะมาละม้ายสงเคราะห์นี้
เป็นสามสิบห้าปีแห่งร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ที่ข้าพเจ้าเกิดทัน เมื่อวัยเยาว์ข้าพเจ้าได้พบกับลูกค้ารุ่นปา ครั้นข้าพเจ้าเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ก็ได้พบกับลูกค้ารุ่นน้า จนข้าพเจ้ายัดเสื้อผ้าใส่ถุงทะเลกลับจากรามคำแหงก่อนเรียนจบ ลูกค้าก็กลายเป็นเด็กรุ่นน้องไปเสียแล้ว จากที่เคยเรียกลูกค้าว่าอาเจ็กอาแปะ ก็เปลี่ยนเป็นเรียกอาเฮีย แล้วที่สุดก็เรียกหนู! ลูกค้าที่เคยเรียกข้าพเจ้าว่าไอ้ตี๋ ก็เรียกเป็นน้อง จนที่สุดก็เป็นพี่ไปจนกระทั่งน้า! อย่างน่าตกใจ-ที่หลายครั้งเด็กมันเรียกข้าพเจ้าว่าลุง! ลูกค้ารุ่นปาล้มหายตายจากไปแล้วส่วนใหญ่ ลูกค้ารุ่นน้าก็ห่างหายหน้าไปตามวิถีทางตน เหลือแต่ลูกค้ารุ่นน้องและหลานนี่แหละในปัจจุบัน หลายต่อหลายคนที่ข้าพเจ้าเห็นเขามาตั้งแต่ยังเดินตามหลังแม่ต้อยๆ เหมือนวันเวลาเล่นตลกที่เมื่อข้าพเจ้าจับจ้องใบหน้าพวกเขา ข้าพเจ้าพบเด็กหนุ่มเด็กสาวเต็มวัย พวกเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยโดยข้าพเจ้าไม่รู้ตัว และมีไม่น้อยที่หอบลูกกะเตงลูกมาสืบต่อจากรุ่นของพวกเขา
จากไอ้ขี้แยร้องไห้ขี้มูกโป่งเมื่อสมัยร้านอยู่ตลาดกิมหยง วันนี้เธอ
เป็นสาวสวยคมบุคลิกภูมิฐาน สวยจนข้าพเจ้ามิกล้าเอ่ยปากชวนคุยเหมือนเมื่อเธอยังกะโปโล และเด็กชายขี้อายที่วันนี้เธอกลายเป็นสาวหน้าอกแหลมเปี๊ยบ! ที่ข้าพเจ้าไม่กล้าจ้องหน้าอกเธอแม้ว่าจะแปลกใจสักเพียงใดก็ตามที
จากรุ่นสู่รุ่นจากวัยผลัดวัย มากมายที่ผ่านพ้นลับ และมากมายที่ยัง
คงซื้อขายกันอย่างสม่ำเสมอ ลูกค้าวัยเดียวกับข้าพเจ้ามากมายที่กลายมาเป็นเพื่อน ลูกค้าวัยเยาว์มากมายที่เมื่อเริ่มมีคนรักก็มักจะพามานั่งในร้านเล็กๆเดิมๆแห่งนี้ แหละลูกค้าแก่ๆเก่าๆที่ยังหลงเหลือนั้นเล่า ก็มักจะมาอุดหนุนพร้อมเล่าเรื่องหนหลังสมัยที่ข้าพเจ้ายังจำความไม่ได้ โดยลูกค้าหน้าใหม่ก็เริ่มจะกลายเป็นขาประจำ สืบรุ่นสืบช่วงต่อกันไป เป็นความอบอุ่นอย่างน่าชื่นชมประหลาด เป็นความแน่นแฟ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ใจแก่ทุนนิยมโดยแท้!
น่องเป็ดชิ้นใหญ่ๆ ข้าพเจ้าจะกันเอาไว้สำหรับถ้วยสั่งพิเศษเท่า
นั้น ข้าพเจ้าใช้เป็ดบ้านมาตุ๋น ด้วยความที่เนื้ออร่อยกว่าเป็ดเทศทั้งปวง ไม่ฟ่ามไม่หยาบและไม่หดตัวเมื่อโดนไฟ ข้อเสียของมันคือมันมีขนาดเล็กกว่าเป็ดเทศมากนัก ยิ่งช่วงไหนที่มันโตไม่ทันจับเชือดคอ หรือคนเลี้ยงให้อาหารไม่พอแก่การกินจุตะบี้ตะบันกินของมัน มันจะยิ่งมีขนาดเล็กราวกับลูกนกเลยเชียว และยิ่งปัจจุบันหาคนเลี้ยงเป็ดบ้านขายมีอยู่น้อยนิด ข้าพเจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจำใจเอาลูกนกเหล่านั้นมาตุ๋นขาย แน่นอน-ขนาดมันเล็กมากนัก เราจึงจำเป็นต้อง แถม ให้ลูกค้าของเรา ท่านต้องรู้ก่อนว่าเป็ดบ้านนั้น ไม่ว่าจะขนาดเท่าลูกนกหรือโตใหญ่ขนาดเท่าห่าน ราคามันก็เกือบหนึ่งร้อยบาทด้วยกันทั้งสิ้น!
จึงน่องเป็ดนี่แหละ ถือเป็นสุดยอดปรารถนาของลูกค้า ด้วยเหตุ
ผลข้างต้นที่กล่าว ข้าพเจ้าจึงจำต้องกันไว้สำหรับถ้วยที่สั่งพิเศษ แต่สำหรับลูกค้าผู้น่ารักของข้าพเจ้านั้น-เอาไปเลย! ไม่ว่าจะสั่งพิเศษหรือธรรมดา เขาจะต้องได้น่องเป็ดชิ้นใหญ่ๆชิ้นนั้นเท่านั้น
จริงอยู่-ที่ข้าพเจ้าปรารถนากำไรให้มากมายที่สุด จริงที่สุด-ที่
ข้าพเจ้าปรารถนาจะลดต้นทุนให้น้อยที่สุด จริงอีกนั่นแหละ-ที่ข้าพเจ้าปรารถนาเม็ดเงินจำนวนไม่รู้จักที่สุด! ปีกหนึ่งอันที่ข้าพเจ้าแถมไปในถ้วย มันย่อมหมายถึงกำไรหดหายไปส่วนหนึ่ง ย่อมหมายถึงต้นทุนเข้าเนื้อไปส่วนหนึ่ง ย่อมหมายถึงเม็ดเงินที่หลุดมือไปส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับตอบกลับมาคือความพึงพอใจของลูกค้า คือมิตรภาพอันแสนอบอุ่น คือการพูดคุยสนทนาในหลายๆเรื่องแม้ในสถานที่นั้นไม่ใช่ร้านศิริวัฒน์ ข้าพเจ้าขาดทุนหรือกำไร?
ข้าพเจ้าไม่สนใจแล้วล่ะว่าขาดทุนหรือกำไร ข้าพเจ้ารู้เพียงว่า
ข้าพเจ้ามีความสุขในการค้าขาย ข้าพเจ้าดีใจทุกครั้งที่ลูกค้าหน้าเดิมคนนั้นคนโน้นเดินเข้าร้าน และสร้างมิตรภาพใหม่กับลูกค้ารายใหม่ผู้ยังไม่เคยพูดคุย ข้าพเจ้าเพิ่งค้นพบว่าทำไมปาจึงมีความสุขมากนักในการค้าขาย และทำไมจึงพยายามเคี่ยวเข็ญให้ข้าพเจ้าค้าขายเยี่ยงที่ปาเคยค้าขาย ด้วยวิธีเก่าๆ ด้วยการค้าโบราณ ด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ปาเคยอิดหนาระอาใจในความไม่เอาถ่านมาก่อนของข้าพเจ้า
งานศพของปา แขกของปาที่เราไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งใดและมีใครบ้าง
ทยอยมาในงานกันแต่ละคืน จนเมื่อสืบเค้าความทรงจำได้จากแม่และจากพวกเราสามพี่น้อง จึงรู้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพื่อนฝูงปาที่ยังมีชีวิตอยู่ และส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าของปาทั้งสิ้น!
๕).
แม่เคยฝันอีกว่า-อยากให้ข้าพเจ้าเป็นทหาร ขณะที่ปาอยากให้
ข้าพเจ้าโตขึ้นเป็นวิศวกร ปาไม่รู้จักหรอกคำว่าวิศวกรอะไรนี่ แต่แกเห็นข้าพเจ้าชอบเล่นการสร้างบ้านมาตั้งแต่เล็ก ชิ้นส่วนไม้ที่มีไว้ให้ต่อเป็นรูปร่างบ้านนั้น ข้าพเจ้าเล่นต่อเสียจนจำได้ว่าอันไหนอยู่ที่ตรงไหน เช่นเดียวกับรถไฟ ที่ข้าพเจ้าชอบอย่างเหลือเกินทั้งของจริงและของเด็กเล่น ไม่เว้นแม้แต่เก้าอี้ไม้หัวล้านทรงกลม ข้าพเจ้าจะเอามันมาวางนอนสองตัวโดยเอาขาเก้าอี้มาต่อกัน แล้วเข้าไปนั่งข้างในทำว่าเป็นรถไฟปู๊นปู๊น
ข้าพเจ้าทำลายความฝันของปากับแม่อย่างยับเยิน! ข้าพเจ้าเป็นได้
เพียงแค่คนขายหมี่เป็ด ผู้สืบทอดร้านมาจากปา! และเป็นได้เพียงผู้ชายอายุสามสิบห้าที่ผ่านโลกแบบผู้ชายๆมาพอสมควร ผู้กำลังพยายามทำตัวให้เป็นสร้อยคอทองคำเส้นเบ้อเร่อเบ้อร่าให้แม่ได้กำไว้แนบทรวงอกอยู่อย่างนั้น!
ปาสอนวิธีค้าขายให้ข้าพเจ้า แม่สอนวิธีอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ให้
ข้าพเจ้า อย่างไม่น่าเชื่อที่ทั้งสองสิ่งนี้จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน! ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากชั่วชีวิตของปาและของแม่ เถอะ-แม้จะมิใช่นายทหารหรือวิศวกรใหญ่โต แต่มีสิ่งใดที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่า? มีสิ่งใดที่ต้องเสียอกเสียใจอีกหรือ? ในเมื่อข้าพเจ้าหลอมรวมทุนนิยมเข้ากับจิตนิยมได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
๖).
ข้าพเจ้ายังไม่เคยบอกใครเลยว่าปาเป็นกวี! บทกวีภาษาจีนที่แก
เขียนด้วยพู่กันจีน ด้วยลายมืออันเป็นหนึ่งในหาดใหญ่มาทุกยุคทุกสมัย ปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ใส่กรอบไว้เรี่ยม ติดอยู่ข้างฝาร้านมาแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเป็นพยาน และชาวสิงคโปร์ชาวมาเลเซียผู้พยายามติดต่อขอซื้อด้วยเงินจำนวนโตนั้นก็เป็นพยานได้ดี ในขณะที่แม่เป็นกวีแบบมุขปาฐะ ที่ปัจจุบันก็ยังคงรื้อฟื้นความทรงจำท่องให้ข้าพเจ้าฟัง
นี่ต่างหาก-เนื้อแท้กวีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นกวีโดยสายเลือด!
เป็นกวีโดยกรรมพันธุ์เพียงผู้เดียวในโลกนี้! ข้าพเจ้าเป็นกวีโดยกมลสันดาน!
ข้าพเจ้าเป็นกวีโดยกำเนิด! อย่างไม่น่าเชื่อที่บทกวีกับการค้าขายคืออันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านเข้าใจไหม? มันคืออันหนึ่งอันเดียวกันในชีวิตของข้าพเจ้า อย่างแยกไม่ออก อย่างแยกส่วนไม่ได้ โดยมีเป็ดที่หน้าตาแปลกๆพิลึกๆปากแบนยาวเป็นแรงบันดาลใจ ด้วยความหลงรักในเป็ดอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนี่เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกอาชีพคนขายหมี่เป็ด มิใช่ดาราหรือนายแบบอย่างที่หลายคนคาดหวัง&
๗).
แหละในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์นี่แหละ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบ-ข้อมูลใน
การเขียนบทกวีของข้าพเจ้าได้อย่างดียิ่ง สัมพันธภาพระหว่างข้าพเจ้ากับลูกค้า เป็นสัมพันธภาพที่มีชีวิต มีน้ำเนื้อแห่งมนุษย์ และเป็นมิตร ปรัชญาชีวิตมากมายอยู่ในถ้วยหมี่เป็ด เช่นเดียวกับที่อยู่ในรอยอุ่นของก้นลูกค้าบนเก้าอี้
มันเป็นวิธีการค้าแบบเก่า ที่นักธุรกิจสมัยใหม่แห่งยุคทุนนิยมเต็มตัวฉงน และไม่เชื่อว่านี่คือวิธีการค้าที่สามารถสร้างค่ามนุษย์ได้เต็มจำนวนเม็ดเงิน!
ท่านนักธุรกิจสมัยใหม่ยุคทุนนิยมเต็มตัว ท่านลองฟาดเด็ก
เบาะๆสักครั้ง แล้วยิ้มให้ผู้ปกครองเด็กด้วยความหวังดีดูสิ ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านโดนชกกลับมาแน่นอน!
๑๙ กันย์ ๒๕๔๖