ร้านหมี่ในเมืองหม่น
ระเบียงชั้น ๔ ของร้านหมี่เป็ด
๑).
เขายืนอยู่บนระเบียงชั้น ๔ ของร้านในดึกที่ฝนกำลังตกกระหน่ำ สายฝนเป็นม่านกางขึงจากดาดฟ้าแผ่ผืนใส เขาสูบบุหรี่ปล่อยควันอ้อยสร้อยจางๆ มองยอดเขาคอหงส์นั้นมิดมืด ปีนี้ฝนน้อยและมาล่ากว่าทุกปี มันควรที่จะตกลงมาตั้งแต่เมื่อเดือน ๙ เขาคิด ก้มมองดูพื้นถนนก็เห็นน้ำท่วมขัง รถยนต์บางคันที่กลับจากไหนสักแห่งวิ่งฝ่าแหวกแอ่งน้ำกระจาย มันจะท่วมไหม? คงไม่หรอก เพราะดินยังอุ้มน้ำไม่อิ่มดีนัก แต่มันตกมาตั้งแต่เมื่อคืนนี่ น้ำท่วมขังอย่างนี้คงเพราะท่อระบายน้ำไม่ทัน มันจะท่วมไหม? เขายังค้างคาใจ
เขาควรที่จะนอนหลับไปตั้งนานแล้ว ในคืนที่ผ่านวันเหน็ดเหนื่อยมา ๑๐ กว่าชั่วโมง มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการนอนฟังเสียงฝนแต่หัวค่ำ ห่มผ้าหนาๆและกอดหมอนข้างอุ่นๆ อาจจะมีเบียร์สัก ๒ ขวดก่อนนอนพร้อมหนังสือดีดีสักเล่ม ความสุขมันหาได้ไม่ยากหรอก เพลงเก่าๆที่โหลดเป็น Mp3 สักชุดใหญ่ๆ หรือหยิบโทรศัพท์คุยกับสาวคนรักสักครู่ ผมพยายามจะบอกเขาให้ไปนอน ในคืนที่หนาวเย็นด้วยละอองฝนเขาอาจเป็นหวัด ร่างกายควรได้พักผ่อนอย่างพอเพียงสำหรับการตื่นมาอย่างแจ่มใสสดชื่น เขาบอกผมว่าเขาปลูกต้นมะขามหวานไว้ต้นหนึ่ง เป็นมะขามหวานต้นแคระแกร็นในหม้อลวกหมี่ชำรุด มันกำลังเติบโต ผลิใบผลัดใบมาหลายฤดูฝน ผมรู้ดีว่ามะขามหวานต้นนั้นวางอยู่หน้าร้านด้านซ้ายมือติดกับถังขยะ แต่มันเกี่ยวอะไรกับการนอน?
๒).
เขาเปิดร้านหมี่เป็ดในเมืองนี้มา ๑๐ กว่าปี รับช่วงต่อจากเตี่ยมาหลังจากเขาล้มเหลวในการศึกษา มันเป็นอาชีพที่เขาคุ้นเคยแต่อ้อนแต่ออก แต่เขากลับเกลียดมัน เขาไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนขายหมี่ เขาอยากเป็นนักปกครอง รัฐศาสตร์ที่เขาเรียนจากรามฯแม้จะไม่จบ แต่นั่นก็ทำให้เขาคลั่งไคล้การเมือง เขาอยากเป็นปลัดอำเภอ แน่นอนที่เขาต้องแอบฝันถึงผู้ว่าราชการจังหวัดตามมา ผมก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงเกลียดอาชีพนี้ ทุกครั้งที่เพื่อนๆล้อเขาเรื่องอาชีพของเตี่ยเมื่อครั้งมัธยม เขาจะโกรธจัด และพร้อมที่จะชกต่อยกับเพื่อนคนใดก็ได้ เตี่ยเคยยื่นคำขาดให้เขาหัดทำเส้นบะหมี่เมื่อตอนอายุ ๑๕ เขาปฏิเสธพร้อมทั้งหันหลังเดินไปอย่างไม่ใยดี วันนั้นผมเห็นเตี่ยร้องไห้ ผมเคยถามเขาในวันหนึ่งถึงสาเหตุแห่งการเกลียดอาชีพนี้ เขายิ้มมุมปาก บอกว่ามันเหนื่อยและไร้เกียรติอย่างที่สุด เขาชี้ให้ดูลูกค้าบางคน เห็นไหม? แล้วพูดต่อว่า คนนั้นเป็นลูกค้าที่จู้จี้เรื่องมาก ขี้เหนียวและเอ็ดตะโรโวยวาย ไม่มีความอดทนในการรอ เขาว่าโชคร้ายที่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาเป็นพ่อค้าไม่ได้หรอก เขายืนยันชัดเจนเมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน
เมื่อกี้หมี่แห้งกี่ก้อนครับ เกาเหลาด้วยไหม? เขาหันไปถามลูกค้าโต๊ะ ๓ เธอเป็นขาประจำสาวสวยที่พักเที่ยงที่ร้านหมี่ของเขาประจำ การลวกหมี่ของเขาจัดเป็นท่วงท่าสวยงาม คลี่หมี่เหลืองออกมา แล้วขยุ้มมันลงในหม้อลวก ใช้ตะแกรงกับตะเกียบยาวกวนแล้วขยอกในน้ำร้อนจัด โยนขึ้นอากาศครั้งสองครั้งก่อนสะเด็ดน้ำให้แห้งแล้วใส่ถ้วย เขาบอกผมว่าจอมยุทธต้องมีลีลา
เขาเคยเล่าว่าเมื่อครั้งอายุยังน้อยเรียนชั้นประถม ลูกชาวจีนจะได้รับการเหยียดหยามเชื้อชาติอย่างรุนแรง และอาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยไร้ค่า โดยเฉพาะอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวที่มักจะโดนเพื่อนๆโห่ฮาอย่างป่าเถื่อน ขวบปีนั้นเขามีเรื่องชกต่อยด้วยเรื่องนี้เสมอ เขาเจ็บใจที่เตี่ยไม่เป็นนักเลง เขาอยากพาเตี่ยไปโรงเรียนแล้วต่อยปากไอ้พวกบัดซบเหล่านั้นให้ราบคาบ เขาเห็นเตี่ยเอาแต่หัวเราะส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปลวกหมี่ให้ลูกค้า เขายิ้มเศร้าๆให้ผม บอกว่ามันเป็นเรื่องของวัยเยาว์ อยากเท่าเทียมเพื่อน อยากได้รับการยอมรับในกลุ่ม เขาเรียนไม่เก่ง เล่นกีฬาไม่ดี ร้องเพลงเพี้ยน เขาไม่มีอะไรเลยที่จะดึงดูดเพื่อนๆให้ยอมรับ ไม่มีอะไรเลยที่จะให้ใครต่อใครชื่นชมในความเก่ง นอกจากหน้าตาจืดๆไร้พิษสงแล้วละก็ เขาแทบจะไม่มีตัวตนเลย ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นแรงดันใหญ่หลวงสำหรับเขาในกาลต่อมา
ร้านของเขาเป็นร้านหมี่ธรรมดาๆ เหมือนๆกับร้านเก่าแก่ทั่วๆไป ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดอยู่ในที่หยิบฉวยสะดวก ของทุกอย่างเป็นระเบียบ หาง่าย ไม่มีการตกแต่งร้านให้ดูดีเหมือนร้านสมัยใหม่ เครื่องวิทยุเทปราคาปานกลางวางอยู่บนโต๊ะ เขาเปิดวิทยุหาคลื่นลูกทุ่งเก่าๆไม่ก็เพื่อชีวิตเก่าๆอย่างไม่สนใจว่าลูกค้าอายุเท่าไร บรรยากาศร้านเป็นของเขาโดยแท้ หลายครั้งที่เมื่อหาคลื่นเจอเพลงร็อคยุค ๗๐ เขาจะเร่งวอลลุ่มให้ดังอีกนิด หันไปคุยกับลูกค้าที่สนิทกันว่าฟังสิ เสียงลูกนิ้วของ เอ็ดดี้ แวนฮาเลน ฟัง As tear go by. สิ มันเพราะเศร้าขนาดไหน แล้วเขาก็ฮัมเพลง Catch the rainbow. เบาๆในลำคอ โปสเตอร์จิตร ภูมิศักดิ์ ใส่กรอบแขวนผนังเคียงข้างกับเหมา เจ๋อ ตง มีบทกวีใส่กรอบ ๓-๔ ชิ้นแขวนอยู่ด้านล่าง ลูกค้าบางคนเรียกเขาว่าบะหมี่เพื่อชีวิต เขาหัวเราะร่ากับฉายานี้ ไม่ใช่หรอก เขาแย้ง แต่มันเป็นบะหมี่ของกวีหนุ่มต่างหากเล่า
บ้านยายที่หมู่บ้านยากจนแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช คือภาพสถานที่ในห้วงนึกเขาอยู่เสมอ เขารักวิถีบ้านนอก ตอนเด็กๆเมื่อนั่งรถประจำทางไปเยี่ยมยาย เขาจะสร้างภาพในหัวว่าขี่ม้าสีขาววิ่งควบไปกับรถ สะพายดาบและห้อยปืนกระบอกโตเหมือนอ้ายเสือมหาโจรลือชื่อ ครั้นกระหายน้ำเขาก็จะนั่งมองแอ่งน้ำข้างทางที่รถผ่าน แล้วนึกเอาว่าตนกำลังวักดื่มน้ำแอ่งนั้นๆ เขามีภาพฝันเป็นตัวปลอบประโลม เขารู้ดีว่าความจืดชืดไร้พิษสงมันเป็นความรู้สึกเลวร้าย บ้านยายคือโลกกว้างกลางทุ่ง นาข้าวลิบๆจรดขอบฟ้าหลังป่าสังแก หนองน้ำกลางนาที่เขาโดดตูมๆเล่น ฤดูฝนที่หยาดย้อยหลังคาใบจาก เสียงอึ่งอ่างเสียงกบเขียด บ้านไม้ยกถุน และการกู่ตะโกนได้สุดเสียงในบ่ายแดดกล้าใต้ต้นตาล
ลูกค้าเริ่มทยอยกันมาเต็มร้าน ผมบอกลาเขา ช่วงเวลาเช่นนี้ผมไม่ควรอยู่คุยด้วย นอกจากไม่ถูกกาลเทศะแล้ว การกลับไปก่อนถูกไล่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
๓).
น่าแปลกใจ เมื่อครั้งเขาเยาว์วัยนั้นขี้อายและขี้ขลาด ผมเคยเห็นเขาร้องไห้เพียงแค่ทะเลาะกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อครั้งเรียนประถม ๔ กระเป๋านักเรียนของเธอถูกใครคนหนึ่งขโมยไปแอบไว้หลังเลิกเรียน และเธอชี้หน้าเขาว่าเป็นคนกระทำ เขาเถียงสุดชีวิต ขณะที่เธอยังกล่าวหาและป่าวประณามไม่รู้หยุด ความอดกลั้นของเขาสิ้นสุดลงเมื่อเขาเอ่ยคำผรุสวาทใส่ และนั่นที่เขาร้องไห้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาร้องไห้เพราะเจ็บแค้น หรือรู้สึกผิดกันแน่ที่ด่าผู้หญิง แต่ไม่ทันที่เขาจะกลับบ้าน พ่อของเธอก็เดินตรงรี่มาหาเขา คว้าแขนเขาอย่างแรงแล้วกระชากถูลู่ถูกังไปที่ห้องครูใหญ่ เขาตกใจกลัว ร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆไปตลอดทางจนถึงห้องครูใหญ่
จะไม่ให้ผมแปลกใจได้อย่างไรกัน? ในเมื่อพอเขาขึ้นชั้นมัธยมปลายต่างโรงเรียน เขากลับเป็นหัวโจกในทางเกเร ผมเคยห้ามเขาเมื่อรู้ว่าเพื่อนคนหนึ่งของเราโดนนักเรียนอีกแห่งข่มขู่เอาเงิน ๑๐ บาท เขาไม่ฟังเสียงใดทั้งสิ้น มุ่งตรงไปยังบ้านของเพื่อนอีกคนแล้วชักชวนกันไปตามหา ผมแอบตามไปห่างๆด้วยความกังวล เขากลายเป็นเด็กหนุ่มมุทะลุไปเสียแล้ว แม้จะอุ่นใจว่าในกระเป๋าของเขามีมีดเล่มเขื่อง แต่เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นก็มีกำลังที่มากกว่านัก ผมเดินไปยื้อแขนเขาไว้เมื่อเห็นเขากำลังก้าวเข้าหากลุ่มนั้น เขาหันมายิ้ม ผลักอกผมเบาๆ และบอกให้อยู่ห่างๆ เขาเดินไปสองคน ผมไม่ทราบว่าเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่เห็นหัวโจกกลุ่มนั้นเอื้อมมือหยิบเงินจากกระเป๋าเสื้ออีกคนส่งให้ มันต้องมีการปะทะกันแน่ ไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนหรอกที่จะยินยอมได้ในเรื่องอย่างนี้ ผิดคาด ผมเห็นเขาจับมือกับเด็กหนุ่มหัวโจกคนนั้น และเดินกลับออกมาด้วยรอยยิ้ม ในมือเขามีเงิน ๒๐ บาท!
แล้วอยู่ๆในวันนี้ เขากลายเป็นพ่อค้าหมี่เป็ด อาชีพที่เขาจงเกลียดจงชังกลายเป็นอาชีพที่เขาทุ่มเทสุดจิตสุดใจ ผมเห็นรอยยิ้มในการทำงานของเขา เคยเห็นขี้เมาตี ๕ เดินเข้าร้านมาเป็นกลุ่ม และโวยวายเอ็ดตะโรสารพัด เขามีสีหน้าเฉยเรียบ บอกขี้เมาว่ารอสักครู่ กำลังทำให้ตามที่ต้องการ เที่ยงวันหนึ่งที่ลูกค้าเต็มร้าน ผู้ชายหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งเดินอาดอาดเข้าหาเขา บอกว่าขอก่อนได้ไหม? เขายิ้ม ทั้งที่การขอลัดคิวเป็นเรื่องที่เขาเกลียดชังยิ่งนัก แต่ลูกค้าทั้งร้านได้ยินคำตอบของเขาชัดเจนว่า ไปถามโต๊ะอื่นๆว่ายินยอมตามที่เขาขอไหมดีกว่า อย่ามาถามเขาเลย
บางครั้งเขาก็เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับผม เหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอาชีพค้าขายหรือไม่ ที่ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง แล้วเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนเล่า? อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากคนขี้ขลาดมาเป็นหัวโจก
เขาไม่เคยตอบคำถามนี้เลย เขายังยืนอยู่ริมระเบียงชั้น ๔ ของร้าน มองฝ่าสายม่านฝนทอดตาไปยังเขาคอหงส์มืดครึ้มนั่น เขาบอกผมว่าเมื่อครั้งที่ ไม้ เมืองเดิม ท้อแท้กับการเป็นนักเขียน เหม เวชกร มิตรของไม้ชี้ให้ดูกระท่อมหลังหนึ่งกลางทุ่ง แล้วถามว่าข้างในกระท่อมหลังนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมรู้ประวัติเรื่องนี้ดี จึงตอบไปว่ามันคือที่มาของเรื่องแผลเก่า เขาเอามืออังสายฝนเล่นครู่หนึ่ง แล้วบอกผมว่าที่เขาคอหงส์นั้นมีเด็กน้อยคนหนึ่ง ฝนหนักอย่างนี้ มันอาจจะเกิดการไหลบ่าของน้ำป่าที่สั่งสมเอาไว้ข้ามคืน เขาจุ๊ปากอย่าให้ผมแย้ง แล้วพูดต่อว่า มันอาจจะเป็นคืนนี้ก็ได้ ที่น้ำป่าโถมเกลียวเข้าม้วนต้นยางแล้วถอนขึ้นลอยน้ำไหลลงพื้นล่าง เด็กน้อยคนนั้นกำลังนอนหลับสบายอยู่ในบ้านหลังเล็ก จู่ๆก็ต้องตกใจกับเสียงน้ำป่าโครมคราม มันกระแทกฝาบ้านพังพินาศ หอบเอาร่างน้อยของเด็กจมผุดจมหายเท้งเต้ง เสียงตะโกนเรียกพ่อหาแม่ถูกเสียงคำรามของน้ำป่ากลบสิ้น แล้วเขาเอามือที่เปียกฝนนั้นมาลูบหน้าตนจนเปียกโชก ไหลย้อยลงคางจนถึงคอเสื้อยืดสีขาว เขาบอกว่าเขามีม้าสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง และเขาจะควบมันไปในเดี๋ยวนี้
ไปนอนเถิด ผมจะกลับบ้านล่ะ ผมบอกเขา ในตู้เย็นผมแช่เบียร์เอาไว้ ๒ ขวด ป่านนี้คงเป็นวุ้น ดึกแล้ว ผมจะขับรถลำบาก พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่มืดนะอย่าลืม ไปตลาดแล้วก็กลับมาจัดร้าน มีลูกค้าสั่งล่วงหน้า ๑๐ ห่อไม่ใช่หรือ? คุณนอนดึกมันจะไม่ไหวนะ
ผมไม่ลืมหรอก ขอบคุณที่เตือน ผมปลูกมะขามหวานเอาไว้ต้นหนึ่ง คุณรู้ใช่ไหม? เขาตอบกลับมา คุณกลับเถอะ ฝนหนักอย่างนี้ไม่รู้มันจะท่วมหรือไม่ ดีไม่ดีรถคุณมันอาจรวนเอากลางสายฝน ดับแล้วสตาร์ทไม่ติด คุณจะแย่ ไม่รู้จะหาช่างที่ไหนด้วยป่านนี้
มันเกี่ยวอะไรกับมะขามหวานต้นแคระแกร็นนั่นด้วย? ผมพยายามคิดหาคำตอบซ่อนเร้นนัยนั้น ได้แต่สะบัดหัวแล้วเดินลงบันได
ผมสตาร์ทรถบุโรทั่ง กว่ามันจะติดก็ต้องออกแรงกันสามสี่ครั้ง เสียงเครื่องยนต์ดังคร้องแคร็งๆ มันจะฝ่าสายฝนหนักคืนนี้ไปได้กี่เมตรหนอ ผมกังวล แล้วถ้าเกิดน้ำป่าหลากเข้าเมืองจริงเล่า? มันจะหลากเข้ามาได้อย่างไรกัน ผมชักขุ่นเคืองตัวเอง
เหลียวกลับมองร้านหมี่ของเขาอีกครั้ง ภายในร้านมืดสนิทและเงียบสงบ หน้าร้านมีโปสเตอร์ประท้วงขับไล่รัฐบาลชุดก่อนติดอยู่ ดูเขามีชีวิตที่ลงตัวและเป็นสุข พื้นหน้าร้านปูกระเบื้องสีเหลืองอ่อนนวลตา แสงนีออนที่เปิดไว้เผยร่องรอยเด็กๆแถวนั้นมาวิ่งเล่นซุกซน
เห็นต้นมะขามหวานในหม้อลวกหมี่ชำรุดยืนนิ่งสงบตากฝนอยู่ติดกับถังขยะ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกี่ยวอะไรกับการนอนหรือไม่นอนของเขา ใบมะขามหลุบลู่ในยามกลางคืน พรุ่งนี้มันจะผลิบานใบอีกครั้งเมื่อเช้ามาถึง ไม่ว่าเช้านั้นจะมีฝนหรือแสงแดด
แหงนเงยมองขึ้นไปที่ระเบียงร้าน ไม่เห็นเขาเสียแล้ว ผมเข้าเกียร์รถแล้วภาวนาให้มันออกตัวได้ดี
เหยียบคันเร่งปล่อยคลัช รถวิ่งฉิวฝ่าสายฝนหนักออกไปพร้อมๆกับหูแว่วเสียงน้ำป่าทะลักถล่มเมือง ๘ มังกร ๒๕๕๐ มนตรี ศรียงค์ meeped@hotmail.com , www.softganz.com/meeped/index.php