มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ : หมี่เป็ดแล้วเป็นไง?

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @13 ก.พ.50 22.09 ( IP : 203...27 ) | Tags : เรื่องสั้น-ความเรียง

หมี่เป็ดแล้วเป็นไง?

อย่าแปลกใจ หากข้าพเจ้าพูดว่าครูคนแรกของข้าพเจ้าคือหม้อลวกหมี่! ๑). วันก่อนพี่ตุ๊กมาที่ร้าน และพูดคุยกันเรื่องครู  ข้าพเจ้าจึงเล่าว่าเมื่อวันที่ ๘ - ๑๐  พฤษภาคม ๒๕๔๘  ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากสถาบันทักษิณคดีสงขลา  ให้ไปร่วมงานครบรอบ ๒๕ ปีของสถาบัน  พร้อมๆกับการสัมมนาร่วมเรื่องของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับเหตุการณ์สีนามิ  โดยมีค่ายนักเขียนเยาวชนน้อยที่ครูภาษาไทยพามาร่วมงานสมทบด้วย  มันเป็นงานใหญ่  นับเป็นเกียรติและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง  ข้าพเจ้าทราบข่าวล่วงหน้ามานานแล้ว  จึงหยุดร้านได้ลงตัวพอดีวัน  หลังจากลากสังขารลวกหมี่กันมาจนจะสองเดือนเต็ม
พี่ตุ๊กซดโอเลี้ยงดังตรอดดดดดดดฟังเงียบๆ

ข้าพเจ้าเล่าต่อว่า บ่ายวันที่ ๘  ข้าพเจ้าก็อยู่ในชุดหล่อเฟี้ยว  อาราธนาพระพุทธเชียงแสนวัดบวรนิเวศน์ขึ้นคล้องคอ  ฉีดน้ำหอมบางๆหลังถูโรลออนใต้วงแขน  ก้าวขึ้นรถตู้สายหาดใหญ่ - สงขลาด้วยท่วงท่าสง่างามที่สุด  มันเป็นช่วงบ่ายที่ฟ้ากำลังมืดครึ้ม  เมฆตั้งเค้าพะเยิบๆมาแต่ไกล นี่มันหน้าร้อนชัดๆ  ภาคใต้จะยังไม่มีฝนจนกว่าจะถึงเดือน ๘ และฝนจะหนักเมื่อเดือน ๑๐ ตลอดไปจนถึงเดือน ๑๒ เดือนอ้าย    มองฟ้าแล้วก็หวั่นๆว่ากางเกงยีนสีเข้มตัวละสองพันมันจะเปียกโชกไหม ?  ข้าพเจ้าหลับๆตื่นๆไม่กี่ทีก็ถึงห้าแยกน้ำกระจาย  ลงรถตรงป้ายเพื่อจะต่อรถเข้าไปยังเกาะยออีกที  จังหวะนั้นแหละที่ฝนก็เทโครมลงมาเหมือนแกล้งกันเล่น  ตกไม่ลืมหูลืมตาเป็นบ้าเป็นหลัง  เดี๋ยวฟ้าแลบเดี๋ยวฟ้าลั่นครางๆครืนๆ  พอก้าวเท้าลงพื้นก็รีบวิ่งสุดชีวิตเข้าไปยังชายคาบ้านละแวกนั้น  ชุดหล่อๆที่ซักรีดฉีดน้ำหอมมาอย่างดีเปียกมะลอกมะแลก  ข้าพเจ้าเปียกชุ่มทั้งตัวราวราชสีห์สรงสนาน  ยืนสะบัดแขนขาหน้าร้านถ่ายรูปนันทกร  ลมพัดแรงจนหนาวสะท้าน  หนูน้อยคนหนึ่งในร้านถ่ายรูปเรียกข้าพเจ้าให้เข้าไปหลบฝนในร้าน  ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณพร้อมยิ้มกว้างขวาง  ข้าพเจ้าสมัครใจจะยืนหลบฝนใต้ชายคามากกว่า บางครั้งเราจำต้องปฏิเสธความหวังดีไปบ้างมิใช่หรือ? ข้าพเจ้าถามพี่ตุ๊กขณะที่แกกำลังคีบหมี่เข้าปาก แกพยักหน้าหงึกๆแล้วเคี้ยวตามเดิม

ดูท่าแล้วมันจะยังไม่หยุดตกเอาง่ายๆแน่  ลงว่าฟ้ายังมืดดำทะมึนอยู่อย่างนี้ละก็  การวิ่งฝ่าไปที่ป้ายรถน่าจะเป็นการดีที่สุด  มันเป็นฝนแปลกว่าไหม? พี่ตุ๊กพยักหน้า ตกมาในเดือนเช่นนี้ที่ยังนับว่าเป็นหน้าร้อนอยู่  อย่างที่รู้แหละ - อากาศทางภาคใต้นั้นมันยากนักที่จะคาดเดา  เคยได้ยินใครบางคนกระแนะกระแหนคนใต้ว่าอารมณ์เหมือนฤดูกาล  ข้าพเจ้าพยายามตีความว่าหมายถึงอารมณ์อันสวยงามสดชื่นเช่นพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วๆไป
ข้าพเจ้าได้ยินเหมือนเสียงพี่ตุ๊กถุยกระดูกเป็ดออกมาเบาๆ

โบกรถสองแถวได้ก็ยัดตัวเองเข้าไปข้างใน มีคนนั่งอยู่แล้วเต็ม ข้าพเจ้าได้ที่นั่งตรงปลายแถว ไม่เป็นไร- ยังไงๆข้าพเจ้าก็เปียกอยู่แล้ว และการได้นั่งรถรับลมฝนเย็นฉ่ำนี่มันช่างเป็นรสชาติชีวิตที่ดีเหลือเกิน คิดดูสิ เราไม่ได้ตากฝนเล่นมานานเท่าไร ละอองเย็นๆและลมจัดๆที่สาดปรายมาต้องใบหน้านวลๆของเรา ไออุ่นจากเพื่อนมนุษย์ที่อัดแอเบียดชิดกัน ข้าพเจ้าหันไปยิ้มให้กับสาวมุสลิมคนหนึ่ง ยิ้มเป็นนัยบอกเธอว่ามันช่างหนาวดีแท้หนอ รถมาจอดตรงหน้าทางเข้าสถาบันทักษิณคดี ข้าพเจ้าลงรถจ่ายค่าโดยสารอย่างไม่รีบเร่งนัก มันเปียกอยู่แล้วนี่ เร่งไปก็ยังเปียกเหมือนเดิม มีค่าเท่ากัน เดินขึ้นไปตามทางลาดสูงชัน จึงรู้ว่าข้าพเจ้าไปสายเล็กน้อย เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี สายฝนยังคงพรำลงมาเป็นละอองฉ่ำ มันซาไปมากแล้ว เป็นเพียงเม็ดฝนเล็กๆที่ร่วงลงมา  หันไปมองทะเลสาบ ผิวน้ำมีการกระเพื่อมแผ่วเบาจากแรงกระทบของสายฝน เรือหาปลายังคงลอยลำ และกระชังปลากะพงก็ยังคงเรี่ยรายอยู่ในทะเลสาบ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในห้องอาหาร พลันนั้นข้าพเจ้าเกิดอาการปวดไมเกรนรุนแรงขึ้นมาฉับพลัน เป็นอันว่าวันนั้นข้าวปลาไม่ต้องกินแล้ว ข้าพเจ้าขอกุญแจห้องพักพี่รูญ แล้วหลับอย่างทรมานกะโหลกไปจนเย็น จนพี่รัตนชัยมาปลุกเพื่อกลับบ้าน ข้าพเจ้าต้องอธิบายให้พี่ตุ๊กฟังอีกว่าพี่รูญกับพี่รัตนชัยเป็นใคร

ให้คิดถึงเมื่อช่วงปี ๒๕๓๒ ที่ข้าพเจ้าได้ไปร่วมรณรงค์ประชาธิปไตยในอดีตพื้นที่สีแดงของสุราษฎร์ธานี พูดให้ถูกต้องก็คือไปหาเสียงให้กับพรรคการเมืองหนึ่งต่างหาก เบี้ยเลี้ยงวันละ ๔๐๐ ในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องน้อย เมื่อคูณเข้ากับจำนวน ๑๕ วันแล้วมันมากพอที่ข้าพเจ้าจะฝันหวานถึงการเดินทางท่องเที่ยวในดินแดนไกลๆได้เลย ในพื้นที่นั้นเรากลับถูกลอยแพ เป็นอยู่กันตามยถากรรม พรรคการเมืองหนึ่งของรามฯทอดทิ้งเราให้อยู่เผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลฝ่ายตรงข้ามตามลำพัง เราถูกปล่อยไว้หมู่บ้านละ ๒ คน ภายใต้การดูแลของแกนนำที่ล้วนแล้วเป็นรองอีกฝ่าย ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจเดินไปหาผู้ใหญ่บ้านที่รู้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เพื่อเข้าไปทักทายสวัสดีฝากตัวอย่างนอบน้อม เข้าใจเอาเองว่าเราเด็กเขาคงเมตตาอยู่บ้าง จึงได้รู้พิษสงของการเมืองว่ามันไม่มีความเมตตาเอาเสียเลย เมื่อข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนโดนผู้ใหญ่บ้านเอาปืนส่อง โชคดีที่แกนนำของเราได้เดินมารับตัวข้าพเจ้ากลับบ้าน คำบอกเล่าเรียบๆของแกนนำเล่นเอาข้าพเจ้าขนหัวลุก เมื่อทราบว่าผู้ใหญ่แกเคยเมาแล้วยิงลูกสาวตัวเองมาแล้ว ถึงตอนนี้พี่ตุ๊กตบโต๊ะดังปังจนตะเกียบหลุดจากมือ แกว่าใช่แล้ว การเมืองเป็นเรื่องที่ไร้เมตตา แล้วใช้ให้ข้าพเจ้าเดินไปหยิบตะเกียบคู่ใหม่ให้

ข้าพเจ้าพยายามปลอบประโลมพี่ตุ๊กให้ใจเย็นๆ บอกว่าเราไม่คุยเรื่องการเมือง โอเค้? เป็นคำกึ่งถามกึ่งขอร้อง  แล้วเล่าต่อว่านับแต่นั้น วันเวลาที่เหลือข้าพเจ้ากับเพื่อนจึงใช้มันไปในการเดินเล่นรอบหมู่บ้าน เดินขึ้นไปตามถนนภูเขา มันเป็นช่วงฤดูฝนหนัก เราสองคนเดินกอดคอกันตากฝนร้องเพลง “หนุ่มพเนจร”อ้อแอ้ไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงวันกลับ ที่ต่างคนต่างกลับพร้อมเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับไม่ครบจำนวนเงิน การเมืองก็คือการเมือง นอกจากไร้ความเมตตาแล้ว มันยังไร้น้ำใจอีกด้วย พี่ตุ๊กถามว่าทำไมร้องเพลงอ้อแอ้? ข้าพเจ้ายิ้มอายๆไม่ตอบอะไร

รุ่งเช้า ข้าพเจ้ารีบไปแต่วัน กระนั้นเถอะมันก็ยังไปถึงช่วงเวลาอาหารกลางวันอยู่ดี  ไม่มีฝนไม่มีลม การเดินทางปลอดโปร่งโล่งสะดวกที่สุด ฟ้าหลังคืนฝนจัดมักจะสวยสุก มันเป็นสีฟ้าไปตลอดฟ้า มีเมฆขาวๆพราวๆแต้มเป็นหย่อมๆ  ลมทะเลหอมสดเหลือเกิน ข้าพเจ้ารู้สึกสดชื่น ในใจก็นั่งทบทวนบทกวีที่จะต้องอ่านในคืนวันนี้ อ่านบทไหนดี? ข้าพเจ้าเฝ้าครุ่นคิด ในกระเป๋ากางเกงราคาสองพันที่นุ่งมาเมื่อวานยังคงมีบทกวี ๓ ชิ้นแนบอยู่ ข้าพเจ้าเผยอก้นเล็กน้อยในรถสองแถวนั้น ดึงบทกวีออกมาคลี่อ่านทบทวน
“ไม่เปลี่ยนกางเกงหรือ? เมื่อวานมันเปียกแล้วนี่นา แห้งทันได้ยังไง” พี่ตุ๊กนี่ขี้สงสัยจริงๆพับผ่า

ทางเดินลาดชันนั้นข้าพเจ้าพบกิ๊บเพื่อนของข้าพเจ้า เราทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้วดิ่งไปยังห้องอาหารทันที เราได้โต๊ะยาวตัวหนึ่ง หัวโต๊ะมีครูภษาไทยจากโรงเรียนต่างๆอยู่ ๒-๓ ท่านกำลังนั่งคุยกับนักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งอย่างออกรส เราสวัสดีทักทายทุกท่านได้ก็จัดการกับจานข้าวเบื้องหน้า ในเวลาหิวและอร่อย เราไม่ต้องการพูดคุยกับใครทั้งสิ้น มันเป็นภาระที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยเบ็ดเสร็จ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตักข้าวจะป้อนใส่ปากอยู่นั้น ครูท่านหนึ่งหันมาถามข้าพเจ้าว่าสอนอยู่ที่โรงเรียนไหน? ข้าพเจ้าลดช้อนลงอย่างเสียดายเนื้อหมูกะเพรา รีบกลืนข้าวที่ค้างในปากอยู่อย่างเคี้ยวไม่ทันแหลก หันไปตอบครูคนนั้นว่าข้าพเจ้ามิได้เป็นครูหรอก ข้าพเจ้าขายหมี่เป็ดที่หาดใหญ่นี่เอง ท้องฟ้าที่สดสว่างกลับพลันเกิดเสียงกัมปนาทของอัสนี อาการตกอกตกใจของครูท่านนั้นเมื่อบวกกับคำถามต่อมาเล่นเอาข้าพเจ้าได้แต่กะพริบตาปริบๆ ความตกอกตกใจล้นพ้นของครูสำแดงออกมาจนข้าพเจ้ากลืนหมูกะเพราะชิ้นนั้นไม่ลง กับคำถามกึ่งตวาดที่ว่า “แล้วมาทำไม?” “ตามใครมา?” พร้อมกับสะบัดหน้าหนีไปทางนักเขียนใหญ่ท่านนั้น แล้วพูดคุยกันถึงผู้ใหญ่ระดับกระทรวงศึกษาธิการตามเดิม ถึงตอนนี้พี่ตุ๊กตาลุกวาว ชี้นิ้วใส่หน้าข้าพเจ้าว่าไร้มรรยาทที่สุด เป็นครูสอนคนได้อย่างไรกันหา?! ข้าพเจ้านั่งหน้าเซ่อ ค่อยๆสะกิดพี่ตุ๊กให้รู้สึกตัว พี่ตุ๊กยังหายใจแรงด้วยความโกรธ แกค้อนขวับหันไปสั่งโอเลี้ยงมาอีกแก้วกับพนักงาน “แล้วเธอทำยังไง?”  ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าเฉย ยิ้มแล้วเฉย แกว่าดีแล้ว อย่าลดตัวไปใส่ปากกับคนพรรค์นี้เลย

กิ๊บยกช้อนที่มีข้าวพูนๆนั้นค้างมองมาที่ข้าพเจ้า เราสบตากันครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อผู้ใหญ่กว่าอาวุโสกว่าถาม ข้าพเจ้าเป็นเด็กกว่าก็ต้องตอบ แม่สอนข้าพเจ้าเรื่องนี้มาแต่เล็กแต่น้อย ข้าพเจ้าหันไปตอบครูท่านนั้นอย่างเหนียมๆว่า ไม่ได้ตามใครมาหรอก แต่บังเอิญพี่มาโนชแกไม่มีคนขับรถให้ ก็เลยวานช่วยขับให้เท่านั้น ครูต้องรู้จักพี่มาโนช นิสรา สิ นักเขียนมือรางวัลมากมายก่ายกองอย่างนั้น ไม่รู้จักแล้วจะไปสอนเด็กให้อ่านหนังสือได้อย่างไรกันใช่ไหมพี่ตุ๊ก? กับข้าวมื้อนั้นก็อร่อยดี แต่ทำไมมันฝืดคอพิลึกไม่รู้
แล้วข้าพเจ้าก็ต้องอธิบายอีกว่า มาโนช นิสรา เป็นใคร

๒).

ข้าพเจ้ารู้สึกดีต่อคนเป็นครูมาเสมอ  ข้าพเจ้าเติบโตและได้รับการเลี้ยงดูมาในแบบสังคมชนบทเก่า  แม่และน้าๆเลี้ยงดูมาไม่ต่างกับเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง กลิ่นอายของทุ่งพัธสีมาอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน  เสียงเพลงจากทรานซิสเตอร์ที่น้าๆเปิดทิ้งไว้มักจะมีสายัณห์ สัญญา ,สาลิกา กิ่งทอง , ฉัตรทอง มงคลทอง เป็นหลัก ช่วงเช้าๆน้าๆ ๔-๕ คนจะนั่งล้อมกะละมังอลูมิเนียมขนาดใหญ่เพื่อถอนขนเป็ด  ข้าพเจ้าอายุประมาณ ๔-๕ ขวบได้กระมังมักจะขึ้นขี่คอน้าดี แล้วโยกเป็นคาวบอยขี่ม้าพยศ แน่ล่ะ- ที่แม่มักจะดึงข้าพเจ้าลงมาหยิกจนเนื้อเขียว แล้วหันไปดุน้าดี น้าดีได้แต่ยิ้มๆบอกว่าไม่เป็นไร แต่สำหรับแม่นั้น เรื่องแบบนี้ไม่เป็นไรไม่ได้เลยล่ะ เรื่องนี้พี่ตุ๊กรู้ดี

มันเป็นเรื่องของอาวุโส เด็กต้องรู้เด็กรู้ผู้ใหญ่ รู้กาลเทศะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติประเพณีขนบต่างๆ พี่ตุ๊กเห็นด้วยไหมล่ะ? แม่บอกว่าทุกสิ่งในโลกนี้คือครูของเรา มีความรู้ให้กับเราทั้งสิ้น แล้วแม่ก็ชี้ไปที่หม้อลวกหมี่ บอกว่าถ้าเราไม่ศึกษา เราจะลวกหมี่ให้เป็นหมี่ไม่ได้เลย และแม่หันไปทางน้าดี สำทับว่าผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ต้องรู้กาลเทศะไหนจึงจะเล่นกับเด็ก และต้องรู้ว่าจะเล่นอย่างไรไม่ให้เด็กมันก้าวร้าว เป็นผู้ใหญ่อย่าให้เด็กมันขี่คอเล่น จากนั้นก็ชี้นิ้วจิ้มหน้าผากข้าพเจ้า “เด็กก็เหมือนกัน เมื่อเห็นผู้ใหญ่ใจดีก็อย่าลามปาม” วันนั้นจบลงด้วยไม้ขัดหม้อฟาดเบาะๆที่ก้นข้าพเจ้า น้าดีนี่แหละที่รีบมาอุ้มข้าพเจ้าหนี

นึกขึ้นมาก็น้ำตารื้นนะพี่ตุ๊กนะ การดุด่าเฆี่ยนตีของแม่ การให้ข้าพเจ้าขี่คอหรืออุ้มหนีไม้ขัดหม้อของน้าดี มันเป็นการสอนข้าพเจ้าโดยตรง ไม่ใช่ทางอ้อมเลย  และทั้งสองพฤติกรรมนี้ข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงความเมตตาและความรักของผู้ใหญ่ มันอาจแสดงออกมาแตกต่างกัน แต่จุดหมายเดียวกัน คือต้องการให้ข้าพเจ้าเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีเมตตา

เมื่อตอนมัธยมต้น ข้าพเจ้ามีครูท่านหนึ่งที่รักประหนึ่งแม่ เป็นครูสอนภาษาไทยรูปร่างผอมบาง ยิ้มเก่งแต่เฆี่ยนเจ็บ ไม่รู้เป็นไรสิน่า ข้าพเจ้ามักจะถูกจับให้อยู่ห้องรวมกับเพื่อนๆที่ค่อนข้างทโมนกว่าห้องอื่นเขา ตั้งแต่มัธยมต้นไปจนมัธยมปลาย วัยมัธยมต้นนั้นข้าพเจ้าเป็นเด็กขี้แยอย่างร้ายกาจ ด้วยรูปร่างที่ผอมบางตัวเล็กหน้าตาจืดๆกระมัง จึงมักเป็นที่สนุกสนานสำหรับเพื่อนๆที่ตัวโตกว่า โชคดีที่ข้าพเจ้ามีเพื่อนในกลุ่มตัวใหญ่ๆ และเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเพื่อนคนอื่นๆเกรงใจ เพื่อนเหล่านี้แหละที่คอยปกป้องข้าพเจ้ายามโดนรังแก แต่ก็เถอะ พวกนี้ก็ชอบแกล้งข้าพเจ้าเสมอในเวลาที่ไม่มีคนอื่นแกล้ง เราเกาะกลุ่มเหนียวแน่นในนาม ม.๓/๓ ของโรงเรียนร่มพญายาง และ “ครูแมว” นี่แหละเป็นครูประจำชั้น พี่ตุ๊กขัดขึ้นมาว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กทโมนไม่ต่างจากเพื่อนที่ได้เล่ามาหรอก แกเห็นข้าพเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อย พบว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กที่ซุกซนได้ร้ายกาจที่สุด มีอย่างที่ไหนเด็กอะไรมันจะโยนลูกแมวให้หมาใหญ่ไล่กัด ข้าพเจ้าชักเบื่อพี่ตุ๊กขึ้นมาตะหงิดๆ

ครูแมวรู้ดีว่าพวกเราเรียนอ่อน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยที่สอนนั้น พวกเรามักจะนั่งตาเยิ้มกันเป็นแถว ข้าพเจ้าสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไมวิชาภาษาไทยนี่มันจึงได้น่าเบื่อและง่วงนอนเป็นที่สุด และทำไมครูภาษาไทยทุกท่านต้องมีไม้เรียวถืออยู่ในมือข้างหนึ่งด้วย มีความน่าสงสัยมากมายสำหรับครูภาษาไทย เช่นทำไมครูภาษาไทยแต่งตัวเชย , ทำไมระเบียบจัด , ทำไมคร่ำครึ , ทำไมชอบให้เด็กออกไปยืนหน้าห้องแล้วท่องอาขยาน , ทำไม , ทำไม , ทำไมและทำไม ข้าพเจ้ายังคงค้นหาคำตอบมาทุกวันนี้

เพราะรู้ว่าพวกเราเรียนอ่อนกระมัง ครูแมวจึงเคี่ยวเข็ญเอากับพวกเราหนักหน่วง คงเพราะในกลุ่มข้าพเจ้าเป็นเด็กหัวอ่อนกระมัง จึงตกอกตกใจกับการเคี่ยวเข็ญของครูแมว ลนลานท่องอ่านหนังสือจนเกรดที่ออกมาน่าพอใจ มีครั้งหนึ่งครูแมวให้พวกเราเขียนเรียงความเรื่องครอบครัวของฉัน ข้าพเจ้ามึนเหมือนปลากัดในขวดถูกชักป๊อก จับปากกาก็ถืออยู่นั่น ไม่รู้ว่าครูแมวต้องการให้เขียนอะไร ยิ่งใกล้วันส่งก็ยิ่งตกอกตกใจลนลาน จึงตัดสินใจเขียนลงไปว่า
“พ่อฉันชื่อ...แม่ฉันชื่อ...ฉันมีพี่น้อง ๓ คน ฉันเป็นลูกคนเล็ก แม่บอกว่าตอนท้องฉันแม่ฝันดี ฉันรัก ทะเล เพราะแม่เคยพาฉันไปเที่ยวสงขลา ปัจจุบันฉันเรียนอยู่ชั้น ม.๓/๓ โรงเรียนนี้ มีครูประจำชั้นชื่อครูแมว ฉันชอบเด็กรุ่นน้องคนหนึ่ง แต่ฉันไม่กล้าบอกใคร” ข้าพเจ้าจบเรียงความได้อย่างน่ารักที่สุด แต่ครูแมวไม่ขำด้วยนี่สิ จึงเรียกข้าพเจ้าไปคุยในห้องพักครู และบอกว่าให้เขียนเรื่องกิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้าขณะที่อยู่บ้าน ข้าพเจ้าจึง... “พ่อฉันชื่อ...แม่ฉันชื่อ...ฉันมีพี่น้อง ๓ คน ฉันเป็นลูกคนเล็ก แม่บอกว่าตอนท้องฉันแม่ฝันดี ฉันรักทะเล เพราะแม่เคยพาฉันไปเที่ยวสงขลา ปัจจุบันฉันเรียน ม.๓/๓” ถึงตรงนี้ข้าพเจ้านึกได้ว่ายังไม่ได้เขียนอะไรที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันขณะอยู่บ้าน เลยใส่เพิ่มเติมลงไปว่า.. “ฉันตื่นตอนตี ๓ มาช่วยพ่อแม่ทำงาน ไปตลาดซื้อต้นหอม บางวันแม่ค้าให้ต้นหอมเน่าๆมา พ่อฉันจะโมโห แล้วไล่ให้ฉันเอาต้นหอมนั้นไปคืน แต่ฉันไม่กล้าหรอก เพราะแม่ค้าที่ตลาดปากจัดอย่างแรง กลับจากตลาดฉันก็อ่านหนังสือเรียน จน ๗ โมงเช้า เฮียรถตุ๊กๆจะมารับ ฉันจะไปถึงโรงเรียนประมาณ ๗ โมงกว่าๆ เรียนภาคเช้าจนเที่ยง พักเที่ยงแล้วก็เรียนต่อ แล้วเฮียรถตุ๊กๆก็จะมารับกลับบ้านในตอนเย็นๆ” ข้าพเจ้าควรมีกิจวัตรประจำวันอะไรอีกดี  กลับจากโรงเรียนแล้วข้าพเจ้าควรจะทำอะไรอีกหนอ? จึงเขียนต่อไปอีกว่า... “อาบน้ำแล้วไปถีบ BMX ออกกำลังกาย เวียนหน้าบ้านนิตสักรอบสองรอบในซอยวัดถาวร แล้วกลับบ้านมาอ่านหนังสือเรียนต่อ” “ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ” ข้าพเจ้าบอกแม่ให้ลงชื่อรับรองข้างล่างกำกับลงไป พี่ตุ๊กหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ สำลักน้ำซุปหมี่เป็ดจนหน้าแดง

แต่ครูแมวไม่ขำด้วยนี่สิ มีบางอย่างในเรียงความที่จับได้ว่าไม่โม้ก็โกหก อย่างข้าพเจ้านี่หรือที่จะอ่านหนังสือเรียนก่อนไปและกลับจากโรงเรียน ใช่ๆพี่ตุ๊กยืนยันเห็นด้วย ข้าพเจ้าค้อนพี่ตุ๊กนิดหนึ่งก่อนเล่าต่อ การปั่น BMX นั้นก็ไม่ใช่เพื่อการออกกำลังกายแต่อย่างใด ครูแมวรู้ดีว่าข้าพเจ้าปั่นเที่ยวเวียนหน้าบ้านสาว เพราะบ้านของ “นิต” อยู่ไมไกลจากบ้านครูแมวเลย แต่มีบางอย่างในเรียงความที่ครูแมวเรียกข้าพเจ้าไปพูดคุยอีกครั้งอย่างซีเรียส นั่นคือการที่ข้าพเจ้าตื่นแต่ตี ๓ มันจะทำให้ข้าพเจ้าพักผ่อนไม่พอ ครูแมวพูดต่อว่า มันทำให้ข้าพเจ้าเรียนไม่รู้เรื่องเพราะความง่วงงุน ครูแมวเค้นถามถึงฐานะสภาพความเป็นอยู่ทางบ้าน แล้วก็ต้องมีสีหน้าแปลกใจเมื่อข้าพเจ้าบอกว่าไม่ได้ยากจนอะไรเลย ที่ร้านก็มีคนช่วยงานเยอะแยะ มันเป็นการเค้นถามที่ข้าพเจ้าเองก็งุนงง ว่าทำไมจึงคิดว่าข้าพเจ้ายากจนจนแม่ต้องใช้ลูกที่อายุเพียง ๑๔-๑๕ ทำงานแต่มืด ข้าพเจ้าเลยบอกไปตามจริงว่า ที่ตื่นตี ๓ นั้น ข้าพเจ้าตื่นมาเอง ไปตลาดซื้อต้นหอมนั้นก็ใช่ ได้ต้นหอมเน่าๆมานั่นก็ใช่อีก แต่พอเอาต้นหอมไปเปลี่ยนมาข้าพเจ้าก็นอนหลับอยู่บนโต๊ะในร้านนั่นต่อ และมันเป็นแค่วันเดียวไม่ใช่ทุกวันของกิจวัตรประจำวัน อ้อ-แล้วเฮียรถตุ๊กๆนั่นก็ไม่มีหรอก ข้าพเจ้าเดินไปโรงเรียนและกลับบ้านต่างหาก ต้นแขนข้าพเจ้าเขียวด้วยรอยบิดอีกครั้ง

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมครูจึงอยากรู้กิจวัตรประจำวัน  จะเพื่อประเมินพฤติกรรมหรือหยั่งลึกลงหาสาเหตุอะไรต่างๆก็จนใจจะตอบแทนครูได้ ช่วงเยาว์วัยนั้นข้าพเจ้ามักมึนงงกับการถูกผู้ใหญ่คาดคั้นเค้นถามเสมอ พี่ตุ๊กเคยเลี้ยงปลากัดไหม? ข้าพเจ้าถามพี่ตุ๊ก เลี้ยงไว้เพื่อทำสงครามไม่ใช่เพื่อความสวยงาม ข้าพเจ้าเคยไปช้อนปลากัดเองที่หนองน้ำย่านแฟลตตำรวจ ใช้เจ้ยค่อยๆเจ้ยขึ้นมาเมื่อเห็นหวอดเป็นฟองฟอด นำมาใส่ขวด หาดินเหนียวใส่ลงไปตรงก้น เสียบยอดผักบุ้งสักยอด แล้วพิงไว้ข้างฝาผนัง โดยมีแผ่นกระดาษคั่นไว้ระหว่างขวด ไม่ให้มันบานเหงือกใส่กันเปล่าๆปลี้ๆ ว่างๆก็นำมันมาปล่อยลงกะละมัง ใช้มือเวียนน้ำเป็นวงให้มันออกกำลังกายจะได้แข็งแกร่ง เสาร์อาทิตย์ก็นัดเพื่อนในละแวกบ้านมากัดปลา ตัวไหนแพ้ถอดสีจนซีดละก็ ข้าพเจ้าจะบรรจงใส่น้ำลงไปจนเต็มขวด แล้วอุดนิ้วแม่โป้งลงใน ชักแม่โป้งออกมาดัง “ป๊อก” แรงดันน้ำและเสียงจะทำให้ไอ้ขี้แพ้มึนงง ไม่นานมันก็จะหงายท้องลอยตุ๊บป่อง
เวลาถูกครูคาดคั้นเค้นถามอะไรสักเรื่อง ข้าพเจ้ามักจะมีความรู้สึกถูกชักป๊อกทุกครั้ง  วันนั้นข้าพเจ้าจึงกลืนข้าวรสชาติอร่อยพิลึกลงไปจนเต็มอิ่ม เรอเบาๆด้วยความเหนียมอาย ก่อนจะยกมือไหว้ลาครูคนนั้นที่ยังคงนั่งคุยกับนักเขียนรุ่นใหญ่อยู่ ตอนนี้พี่ตุ๊กเท้าความเรื่องแฟลตตำรวจ และเล่ารักครั้งแรกของแกให้ฟังอีกสัก ๒๐ นาที

๓).

ข้าพเจ้าเป็นศิษย์มีครูอย่างแน่แท้ อย่างน้อยก็หม้อลวกหมี่ละน่า ข้าพเจ้าพยายามเรียนรู้ชีวิตจากหม้อใบนั้นเสมอมา มันเป็นหม้อสแตนเลสใบย่อม แบ่งออกเป็นสองฟากไว้ลวกกับต้มน้ำแกง เมื่อเราเร่งไฟด้วยเตาแก๊สหัวเร่ง น้ำในฝั่งไว้ลวกจะเดือดเต้นวุ่นวาย และน้ำแกงจะพลุ่งพอประมาณ นั่นคือข้าพเจ้าแบ่งสองฟากไม่เท่ากัน และตั้งวางเตาไว้อย่างเอนเอียงไปทางน้ำลวก มันต้องมีเหตุผลสิ การลำเอียงมันต้องมีเหตุผลไว้อธิบายใครต่อใครเสมอ ในจำพวกเส้นทั้งหลาย เส้นหมี่เหลืองเป็นเส้นที่ลวกยากที่สุด เพราะมันยังเป็นแป้งผสมไข่ดิบๆ ไม่เหมือนพวกเส้นใหญ่เส้นเล็กเส้นหมี่ฮุ้น พวกนี้จะสุกมาจากโรงงานแล้ว การลวกก็เพียงเพื่อให้เส้นมันนุ่มและร้อนเท่านั้น เคยมีคนภาคอื่นทำสีหน้างุนงงเมื่อข้าพเจ้าเรียกเส้นหมี่ว่าหมี่ฮุ้น นี่เป็นถ้อยคำเรียกมาจากภาษาจีนอย่างคงเสียงไว้มั่น มันถูกดัดเสียงนิดหนึ่งเพื่อให้เข้ากับลิ้นของคนไทยภาคใต้ คำเรียกแท้ๆของมันคือ “หมี่ฟวุ่น”  เส้นก๋วยเตี๋ยวเรียกแท้ๆว่า “โก่ยเตียว” “ก่วยเตียว” หมี่เหลืองเรียก “เมียน” ออกเสียงสูงนิดๆ แต่ผันเสียงเพียงครึ่งไม่เต็มรูปเสียงเอก เป็นภาษาแมนดาริน แต่แต้จิ๋วนั้นเรียก “หมี่” หรือ “มี” สำหรับก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กนั้นคนจีนเขาไม่รู้จัก เขาถามข้าพเจ้าว่ามันคืออะไร ข้าพเจ้ายิ้มและตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ก่วยเตียวเกี้ย” เกี้ยคือเล็ก เป็นAdj. ที่เราเรียกกันคุ้นเคยก็คือหมวยเกี้ย น้องหมวยคนเล็ก น้องหมวยลูกคนสุดท้อง แน่ล่ะที่คนจีนเขาก็ยิ้มรับแบบงงงงกับการใช้ไวยากรณ์ของข้าพเจ้า เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยงงเมื่อคนงานคนหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า เส้นเล็กนั้นฝรั่งเรียกว่า  small line.!! นี่เพียงแค่เส้นเท่านั้น ข้าพเจ้ายังมีความรู้ด้านภาษาได้ขนาดนี้ แล้วถ้าหม้อลวกหมี่ล่ะพี่ตุ๊ก?

บุคลิกของข้าพเจ้าไม่มีทางจะมองเป็นครูสอนคนได้เลย ข้าพเจ้าตอบคำถามที่ตรงที่สุดและจริงที่สุดให้กับครูในห้องอาหารท่านนั้น ปฏิกิริยาตอบกลับน่าจะเป็นบุคลิกของคนเป็นครูมากกว่าการตวาดแล้วสะบัดหน้าใส่ พลันนั้นข้าพเจ้าคิดถึงแม่ คิดถึงน้าดี ครูแมว รู้สึกโชคดีที่ได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากมายนอกเหนือตำราจากคนเหล่านี้ คิดถึงเส้นต่างๆที่ข้าพเจ้าสนุกในการพูดคุยกับคนต่างด้าว คิดถึงหม้อลวกหมี่สแตนเลสที่การลำเอียงในการแบ่งฟากของข้าพเจ้ามันมีเหตุผลในการอธิบาย
คืนนั้นข้าพเจ้าขึ้นอ่านบทกวีบนเวที เสียงปรบมือเกรียวกราวกระหึ่มก้อง ครูท่านนั้นต้องได้ยิน! ว่าแต่- ทำไมครูภาษาไทยจึงแต่งตัวเชย ทำไมระเบียบจัด , ทำไมคร่ำครึ , ทำไมชอบให้เด็กออกไปยืนหน้าห้องแล้วท่องอาขยาน , ทำไม , ทำไม , ทำไมและทำไมครูภาษาไทยจึงดูถูกเหยียดหยามอาชีพขายหมี่เป็ด หมี่เป็ดแล้วเป็นไงหรือพี่ตุ๊ก?

๑๐ กุมภ์ ๒๕๕๐

Comment #1
Posted @15 ก.พ.50 11.17 ip : 202...74

ใช่ ใช่ ทำไมครูภาษาไทยจึงเชย คร่ำครึ ครูภาษาไทยต้องน่องทู่...อันนี้คุณครูบอกเอง หนูจำได้


มันเป็นภาพในความทรงจำตอนอยู่ประถม มัธยม ไม่รู้เดี๋ยวนี้เขาปั๊ดตะนาไปถึงไหนแล้วนะ

Comment #2
eric (Not Member)
Posted @18 ก.พ.50 14.28 ip : 124...187

เอ่อ แต่ผมรักพี่ตุ๊กน่ะครับพี่หมี่ ทำไงดี !!!

Comment #3
ผีเสื้อปีกบางฯ (Not Member)
Posted @19 ก.พ.50 9.58 ip : 203...234

ครูภาษาไทยเค้าพัฒนาแล้วค่ะพี่ ไม่เชื่อไปดูที่ รร. หนูสิพี่

แล้วพี่จะรักครูภาษาไทย

Comment #4
พัฒนะ ปฐมพงศ์ (Not Member)
Posted @19 ก.พ.50 20.03 ip : 125...197

พี่หมี่... วันที่ไปงานพานแว่นฟ้า ก็มีผู้ใหญ่มากๆ คนนึง ถามผมเหมือนกันว่าทำงานอะไร ผมตอบว่าเป็นขายแก๊สอยู่นครปฐม เท่านั้นแหละเขาก็ไม่ถามอะไรอีกเลย

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 36 user(s)

User count is 2281153 person(s) and 9182715 hit(s) since 30 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).