ต้นมิกกี้เมาส์ของเจ๊

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @15 มี.ค.50 3.09 ( IP : 203...136 ) | Tags : เรื่องสั้น-ความเรียง

ต้นมิกกี้เมาส์ของเจ๊

๑). แดดร้อน  เหมือนว่าดวงอาทิตย์กำลังจะระเบิดพวยพุ่งเป็นลูกไฟตกหล่นลงมา ผมขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านของเขาในบ่ายที่เหงื่อกำลังรินไหลย้อยจากหมวกกันน้อก  ตั้งใจจะไปหาซื้อหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์สักฉบับ เป็นบ่ายวันเสาร์ที่ถนนโล่งว่างเหลือเกิน เป็นเรื่องแปลก ถนนสายนี้ที่พาดผ่านหน้าร้านหมี่เป็ดของเขานั้น ปกติแล้วมันจะแทบไม่เหลือที่ให้รถคันใดเร่งตะบึงได้เลย แต่นั่น มอเตอร์ไซค์เดลิเวอร์รี่ของอาหารฝรั่งแห่งหนึ่งห้อมาแต่ไกล ธงยี่ห้อร้านและเบอร์โทรฯสีเขียวบนพื้นแดงโบกสะบัด ผมรีบเอี้ยวรถหลบไอ้รถด่วนนั้น  อย่าได้ไปขวางเขาเลย เขากำลังรีบร้อน  ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปอย่างเอื่อยๆ เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกโรงเรียนศรีนคร ลมร้อนก็ยังคงกรูกราวมาไม่หยุดหย่อน อย่างน้อยมันก็พอจะผ่อนคลายความร้อนลงไปบ้างล่ะ แม้เปลวแดดจะเต้นวับวับเป็นตัวเบื้องหน้าก็ตาม แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นได้  ว่ามีธุระที่จะต้องเข้าไปคุยกับเขาสักเรื่อง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก แค่เรื่องของความสงสัยเล็กๆน้อยๆที่ผมมักจะมีบ่อยๆ และเขาก็มักจะตอบได้ทุกเรื่องทุกครั้ง แม้หลายๆครั้งนั้นมันจะเป็นเพียงการวิเคราะห์เอาเองจากเขา บางครั้งก็เกินเลยไปเป็นการคิดเอาเอง อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกนั่นแหละ ว่าผมจะได้คำตอบที่จริงแท้จากเขาหรือไม่ การได้ฟังเนื้อเสียงที่ร้อยเรียงคำตอบอย่างเป็นระบบต่างหาก  ที่ดึงดูดผมให้นั่งฟังอย่างเห็นภาพเป็นฉากๆ และอิริยาบถเขาก็น่าดูไม่น้อย ดวงตาเขาจะลุกวาวเสมอเมื่อได้แสดงความเห็น แม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องของแมวจรจัดสักตัว แมวจรจัดที่วันหนึ่งได้หลงเข้าไปในบ้านของเจ๊ข้างร้านเขา ผมยังขำไม่หาย เมื่อเห็นอาการโกรธเกรี้ยวเอาเป็นเอาตายของเขาที่มีต่อเจ๊ข้างร้าน เขาเป็นคนรักแมว

ผมเลี้ยวรถกลับตรงถนนหน้าโรงแรมใหญ่ อันที่จริงมันก็ใกล้ถึงร้านหนังสือแล้ว ถ้าเพียงแต่ผมขับต่อไปอีกนิด หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ก็จะม้วนอยู่ในตะกร้าหน้ารถ  เอาน่า วกกลับไปก่อนแล้วค่อยขับมาทางเดิมอีกทีก็ได้ ถือซะว่าชมบรรยากาศของเมืองที่แปลกตาไปอย่างน่าใจหาย ทำไมมันถึงได้โล่งโจ้งตลอดสายถนนได้อย่างนี้นะ ร้านขายของชำหน้าโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่งเงียบงำสนิท ซิ้มเจ้าของร้านนั่งวีลมอยู่เงียบเหงา  โรงแรมใหญ่สองแห่งที่ผ่านก็เห็นแต่ลานจอดรถว่างเปล่า มันเกิดอะไรขึ้น?

เขานั่งหน้าร้านด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ปากพึมพำๆอะไรไม่ได้หยุด ผมจอดรถแล้วยิ้มเอ่ยทักเขา เดินเข้าไปใต้กันสาดที่กั้นแดดเมื่อช่วงเช้า ร้านเขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ช่วง ๗-๑๑ โมงจึงเป็นช่วงที่ลำแดดสาดอายเข้ามาในร้านอย่างจัง เขาไม่ใช่คนถือโชคถือลางอะไรหรอก ตอนมาอยู่ร้านนี้ก็เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่เหลือ ทำเลมันดี เขามองด้วยสายตาพ่อค้า เขาเคยกล่าวติดตลกว่าร้านที่หันหน้าเข้ามาทิศตะวันออกเป็นร้านที่ดี เพราะแดดเช้ามีคุณประโยชน์ต่อร่างการ มันมีวิตามินอี ผมจำไม่ได้หรอกว่ามันเป็นวิตามินอะไร ผมรู้เพียงว่าแดดบ่ายนั้นมันแห้งผาก แดดเช้าสิที่มันร้อนชุ่ม “ชุ่มเหงื่อนะสิ” ครั้งนั้นเขาตอบแล้วก็หัวเราะ คงจริงอย่างที่เขาว่า เพราะผมเคยเห็นเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว แดดเช้าที่แรงจัดและการยืนอยู่หน้าเตานี่แหละ ที่เขาต้องมีผ้าขนหนูผืนหนึ่งพาดบ่าเสมอ

“เป็นอะไร? นั่งหน้าตาเหมือนยักษ์อย่างนี้ ลูกค้าที่ไหนจะรวบรวมสติเข้ามาในร้าน?” ผมทักตลกๆแต่เขาไม่ตลกด้วย
“คุณรู้จักหลวงพ่อทวดไหม?” จู่ๆเขาก็ถามผมไม่มีปี่มีขลุ่ย ใครบ้างจะไม่รู้จัก ผมพยักหน้ารับงงงง รู้ว่าเขาเป็นนักสะสมพระเครื่องคนหนึ่ง แต่เขาก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ
“ผมมีหลังเตารีดอยู่องค์” แล้วเขาก็โชว์รูปถ่ายเมื่อเขายังแก้ผ้านั่งบนเก้าอี้หวายในร้านถ่ายรูปให้ดู ผมถึงกับหัวเราะเสียงอหงาย ก็หลังเตารีดของเขานั่นมันห้อยลงจนเกือบถึงไอ้จู๋ของเขา หน้าตาเฉิ่มบ๊ะมาแต่เด็กเลยนี่นา ผมคิดในใจ
“แล้วยังมีสมเด็จวัดปากน้ำรุ่น ๓ ผมเก็บอยู่ข้างบน มีอีกเยอะแยะ ถ้าคุณอยากเห็นเดี๋ยวเก็บร้านผมจะพาขึ้นไปดู” ผมรีบปฏิเสธบอกว่าไม่ต้องหรอก ถึงดูกันสักกี่ชั่วโมงผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ารุ่นไหนราคาเท่าไร
“ช่างเถอะ ผมอยากรู้ว่าสาเหตุใดที่ชักมุมปากคุณชี้ลงข้างล่างมากกว่า” ผมชี้ไปที่ปากเขาพลาง ส่ายหน้า เขายิ่งหน้าบูดบึ้ง แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บางครั้งนะคุณ” เขาหยุดใช้ความคิดนิดหนึ่ง “บางครั้งผมอยากเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วกระชาก คอเสื้อเจ้าสักองค์มาถาม ว่าทำไมไม่อยู่ในที่ที่ของตัวเอง? ทำไมต้องมายุ่งยากอะไรบนโลกมนุษย์ให้มันโกลาหลขนาดนี้?”
ผมนิ่งมองเขา นี่เรื่องใหญ่สักอย่างแน่ ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ถือเทพถือเจ้า เขาไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำไป ว่าจะมีอยู่ ประโยคเมื่อกี้ของเขามันจึงน่าจะพุ่งตรงไปยังใครสักคน ไม่ใช่ผมหรอก แต่ใครล่ะ? ผมมองไปรอบๆร้านหมี่เป็ด ผ่านพ้นวันตรุษจีนมาเมื่อวาน มันยังมีร่องรอยของเศษประทัดเกลื่อนถนน บรรยากาศสนุกสนานชื่นมื่นยังคงอบอวลอยู่ในความวังเวงที่หาสาเหตุไม่ได้
“ขอร้อง บอกมาตรงๆเถอะ เพราะผมเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอยู่ ไม่ใช่เรื่องพระเครื่อง หวังว่า คุณคงจะสนใจบ้าง” บางทีผมก็จำเป็นต้องหมั่นไส้ในท่าทางของเขา ไม่อย่างนั้นเป็นไม่ได้รู้เรื่อง เขาถอนหายใจ ปรายตามองไปทางบ้านซ้ายมือ แล้วเหลือบกลับมามองผม มือก็ตบต้นขาตัวเอง เบาๆอย่างใช้ความคิด
“มันเรื่องอะไรกันเล่า?” ผมชักหงุดหงิด หันไปมองบ้านข้างๆร้านก็เห็นแต่ความเงียบ ประตูบ้านปิด สนิท ทางเท้ามีกระถางต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงรายเป็นระเบียบ ออกดอกสดสวยบานเบ่งอยู่กลางสีเขียวของใบ และบัวในอ่างสองลูกหน้าบ้านก็กำลังชูดอก มันกำลังตูม น่าเด็ดไปบูชาพระ “นั่นแหละ” เอาล่ะ เขากำลังจะเริ่มต้น ผมนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“เมื่อวานเจ๊เขาจุดประทัดกันสนั่นหวั่นไหวเลยละคุณ” ก็มันตรุษจีน ผมแย้งไปเบาๆ เทศกาล เช่นนั้นที่ไหนๆเขาก็จุดประทัดกัน
“๑๐๐๐ นัด! คุณคิดดูสิ ๑๐๐๐ นัดอย่างนั้นควันและกลิ่นกำมะถันมันจะลอยไปไหนได้ ในเมื่อมันอยู่ ติดร้านผม” ผมพอเข้าใจล่ะ เขาเป็นภูมิแพ้รุนแรง และเขาไม่ชอบกลิ่นกำมะถันเอามากๆ ผมนึกภาพควันที่คลุ้มขนัดส่งกลิ่นฉุนจัดของกำมะถันกรูเข้าในร้าน เสียงที่ปึงปังอึกทึกสนั่นหวั่นไหวนั่นอีก
“คุณต้องผ่อนปรนอะไรบางอย่างบ้างสิ” ผมพยายามเตือนสติ “และปีหนึ่งมีครั้งแบบนี้ คุณยิ่งต้อง ถอยตัวร่นเข้าหามุมของตัวคุณเอง คุณอยู่ร่วมในสังคม คุณต้องระลึกเสมอว่ามันมีการกระทบกระทั่งกันตลอด”
อันที่จริงผมพอจะทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเขาไม่ถูกกับเจ๊ข้างบ้าน ผู้หญิงร่างเล็กวัย ๔๐ กลางๆ
หน้าตาบอกความเป็นจีนเต็มเปี่ยม เวลาเดินตูดจะกระดกด้วยความพิการเล็กน้อยทางขา เขามักเรียกเจ๊นั้นว่าตูดเป็ด เสียงแหลมเล็กที่เหมือนจะไม่มีเอ๊คโค่ของเจ๊ มันบาดลึกไปถึงทรวงใครต่อใคร เวลาเจ๊พูด  เสียงแหลมเล็กนั้นจึงเหมือนต้องตะโกนตลอดเวลา มันสร้างความรำคาญให้กับเขา แต่ก็ยังไม่ใช่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ต้องเมินหน้าใส่กัน
เจ๊นั้นเป็นคนจีนที่รังเกียจคนไทยยิ่ง ทั้งที่เจ๊เขาก็เกิดที่นี่ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรังเกียจดูถูก เชื้อชาติกันด้วย โดยเฉพาะเชื้อชาติของตนเองแท้ๆ หลายปีก่อนนั้นผมเคยได้ยินเจ๊แกเผลอด่าคนไทย เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งบ้านในซอยเยื้องๆโดนโจรงัดบ้าน ได้ทรัพย์สินไปพอควรเลยล่ะ ขณะที่ผมกับเขากำลังคุยกันเรื่องนี้ ด้วยความสงสัยว่าทำย่านนี้โจรจึงชุมนัก เจ๊แกก็กลับมาจากตลาด แกรู้เรื่องนี้แล้ว เมื่อหูแว่วได้ยินเรื่องที่เราคุย แกจึงมาผสมโรงด้วย
“ไอ้พวกคนไทยตัวดำๆทั้งนั้นแหละ งานการไม่รู้จักทำ” นี่คือประโยควรรคทองของเจ๊ และเป็น ประโยคฮุคที่พุ่งใส่ใบหน้าของเราสองคนอย่างจัง ผมเป็นไทยแท้ พ่อและแม่สืบเชื้อสายชาวนาในพื้นที่มาก่อน เขาเป็นลูกครึ่ง เตี่ยมาจากแผ่นดินใหญ่ แต่เขาผูกพันกับฝ่ายแม่ที่มีเชื้อสายชาวนาจากนครศรีธรรมราชมากกว่า เจ๊เหมือนจะรู้สึกตัว จึงรีบเดินเข้าบ้านปิดประตูเงียบกริบทันที อีกครั้ง ความที่ครอบครัวของเจ๊เป็นคนที่พูดเหมือนตะโกน และมีเสียงแหลมเล็กไร้เอ็คโค่ เราจึงได้ยินถนัดถนี่เมื่อเจ๊คุยกับลูกสาวที่โตพอจะมีครอบครัวแล้ว
“ใครมันจะเอา ดำก็ดำ เป็นคนไทยด้วย ซ้ำยังจนอีก” แล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะกันครืน ผมมองหน้าเขา เขามองหน้าผม ความรู้สึกอันบอกไม่ถูกแล่นขึ้นมาจุกคอหอยเราทั้งสอง ผมถาม เขาว่าลูกสาวเจ๊สวยมากหรือ? ผมมาเยี่ยมเขาบ่อย แต่ไม่เคยเห็นลูกสาวเจ๊เลย เขาหัวเราะก๊ากจนตัวโยนกับคำถาม บอกว่าไม่มีใครเคยเห็นหรอก ลูกสาวเจ๊จะอยู่แต่ในบ้าน จะเปิดประตูออกมาได้นั่นก็ต้องมีธุระจริงๆ เช่นเอาขยะมาทิ้ง ซึ่งนั่นก็ต้องปิดประตูแล้วใส่กุญแจ เพื่อเดินมาทิ้งขยะในถังตรงทางเท้าหน้าบ้าน ผมไม่เชื่อ เขาบอกอีกว่าทิ้งขยะลงถังเสร็จก็ไขประตู แล้วใส่กุญแจเดินขึ้นชั้นบนอีกครั้ง
“มันเป็นอย่างนั้นจริง” เขายืนยัน “เจ๊มีลูกสาวสองคน คนโตอายุจะ ๓๐ คนเล็กกำลังเรียนปริญญาที่ มหาวิทยาลัยเอกชน”  “เราจะสามารถเห็นลูกสาวเจ๊ได้ก็ต่อเมื่อเจ๊กะเฮียพ่อของเด็กสองคนนั่นอยู่บ้าน สวยไหม?” เขาย้อนคำถามแล้วหัวเราะตัวโยนอีกครั้ง “แล้วนี่มาธุระอะไร หรือผ่านทางแล้วนึกขึ้นได้ว่าควรแวะสักหน่อย” เขายังคงหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องคุย
แต่ดูเหมือนบางสิ่งที่หน้าบ้านของเจ๊ยังคงติดค้างอยู่ในใจ เขาจิ๊ปากอย่างรำคาญตัวเอง ปรายหาง ตาไปที่ต้นมิกกี้เมาส์อยู่บ่อยๆ มันมีซองสีแดงผูกไว้เรี่ยรายตามกิ่งก้านอันรกเกะกะ ใบเขียวเข้มของมันตัดกับสีแดงแปร๊ดอย่างชักชวนสายตา เหนือขึ้นไปบนเพดานมีโคมเต็งลั้ง ๒ ลูกแขวนห้อยต่องแต่งอยู่
“ผมเป็นคนรักต้นไม้ เถอะ แม้ไม่ค่อยจะรู้จักชื่อชนิดของมันนัก แต่ลงว่าเป็นต้นใบเขียวๆมีดอก แดงๆเหลืองหลากสีละก็ ผมชื่นชมทั้งสิ้น” เขาเอื้อมไปเด็ดใบเขียวของมิกกี้เมาส์มาใบหนึ่ง ใช้นิ้วลูบใบเบาๆก่อนดีดมันลงถนน “คุณก้มดูที่ดินในกระถางสิ” เขาชี้นิ้วให้ผมมองตาม มันมีก้านธูปปักอยู่ ๔-๕ ก้าน ผมชักสงสัยว่ามัน มีไว้ทำไม เอ่ยถามเขาในความสงสัยนั้น เขาก็หัวเราะก๊ากออกมาเต็มเสียง “คุณเคยเห็นต้นไทรต้นโพที่มีผ้า ๗ สีพันไว้ไหม? นั่นแหละ เจ๊เขาเชื่อเช่นนั้น ผมเห็นเจ๊จุดธูป ยกขึ้นไหว้ไปบนฟ้าปะหลกๆ จากนั้นก็เอามาปักไว้ที่กระถางมิกกี้เมาส์”
“ผมเคยเห็นเจ๊แกไหว้ฟ้าดินมาเยอะ แต่ทุกครั้งแกจะปักธูปไว้ที่ประตูบ้าน” เขาชี้ให้ดู มันมีที่ปักก้าน ธูปเล็กๆอยู่ ๒ ฟากประตู ผมเคยเห็นตามบ้านคนจีน มันไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่การเอาลงปักที่กระถางมิกกี้เมาส์นี่สิ เจ๊แกเชื่อว่ามีเทพมีเจ้าสิงสถิตอยู่หรืออย่างไร? “ไม่หรอก มันไม่ได้มีเทพเจ้าที่ไหนสิงสถิตอยู่ แต่เจ๊แกเชื่อว่าต้นมิกกี้เมาส์ที่ออกดอกเป็นซองอั่ง เปานี่ จะเป็นมงคลเมื่อเจ้าลงมาจากสวรรค์ เป็นบรรณาการเป็นทานที่เจ๊ให้เทพเจ้า เพื่อหวังว่าเทพเจ้าจะช่วยดูแลชีวิตให้ดีมีโชคลาภ ก็เหมือนที่เราเคยเห็นคนจุดธูปไหว้ต้นกล้วยที่ออกปลีมาพิกลพิการนั่นแหละ คุณจำได้ไหมล่ะ เมื่อครั้งก่อนที่เราไปหัวไทร แล้วเห็นคนจำนวนมากมุงดูปลีกล้วยรูปร่างแปลกๆ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้รับโชคดีจากสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์” “แล้วคุณหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไร” ผมถามสาเหตุอีกครั้ง และดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวว่ากำลัง หงุดหงิด จึงสะบัดหัวแรงๆทีหนึ่งพร้อมกับจิ๊ปากอย่างหัวเสีย
“ก็เพราะเจ๊แกเชื่อว่ามิกกี้เมาส์ต้นนี้จะเป็นที่ชุมนุมของเทพเจ้านะสิ เจ๊แกเลยปล่อยให้มันสูง ระเกะระกะโดยไม่ตัดแต่งกิ่งก้านมันเลย”
“และดูมันเถิด ว่ามันสูงจนท่วมโต๊ะหน้าร้านตัวนี้ไปเท่าไรแล้ว ลูกค้าผมมาจากทางโน้น” เขาชี้ไป ทางซ้ายมือ “ลูกค้าผมจะมองเห็นร้านได้อย่างไร? โอเค ลูกค้าประจำน่ะไม่ต้องชะเง้อมองหาร้านหรอก เขารู้ดีว่าร้านอยู่ตรงไหน แต่ลูกค้าใหม่ๆหรือที่นานๆจะมาสักครั้งนี่สิ พวกเขาจะมองเห็นแต่ก้านกิ่งมิกกี้เมาส์ที่ออกดอกแดงเรื่อไปทั้งต้น”
“ผมคิดว่าเจ๊เขาแกล้งผมนะ” เขาสรุป “เรื่องครั้งก่อนที่เจ๊แกชอบเอาถังขยะมาไว้บนถนนหน้าร้านมันยังไม่เคลียร์กันเลย เจ๊แกเชื่อโชคลาง ฮวงจุ๊ย การมีถังขยะหน้าบ้านเป็นเรื่องไม่ดี แกจึงเลื่อนมันมาไว้หน้าร้านผมแทน เถอะ ถึงมันจะอยู่บนถนนก็ตาม แต่นานเข้าผมชักหงุดหงิด คุณเชื่ออะไรของคุณก็เชื่อไปสิ แต่ทำไมความเชื่อของคุณมันต้องมาเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นด้วย” น้ำเสียงเขาเครียดขึ้นมาทันที “แต่เรื่องที่ผมเคืองและโกรธมากที่สุดคือ วันหนึ่งยามเที่ยงที่ลูกค้าเต็มร้าน ลูกสาวแกเอาขยะมาทิ้ง ในถัง แต่เนื่องด้วยพุ่มพันธุ์ไม้หน้าบ้านแกมันเยอะมาก ทั้งรกรุงรังยังกะป่าดงดิบ ลูกสาวเจ๊จึงโยนขยะไม่ลงถัง แต่มันหล่นปุที่หน้าร้านผม และอะไรบางอย่างของผู้หญิงก็โผล่ออกมาโดยไม่มีการห่อ” “คุณคิดว่าอะไรล่ะ? ไอ้นั่นแหละ คิดดูสิ ลูกค้าผมที่นั่งโต๊ะหน้าร้านเขาจะทำสีหน้าอย่างไร? ก็ต้อง ลุกขึ้นจ่ายเงินทั้งที่ยังทานไม่เสร็จ และไม่มาอีกเลย” “ผมเดินเข้าไปกดออดเรียกเจ๊ เจ๊ออกมารับหน้าและปฏิเสธว่าไม่ใช่ของลูกสาวแก จากนั้นก็ปิด ประตูดังปังกลับหายเข้าไปชั้นบน” “จะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้หรือ?” “แล้วเกี่ยวอะไรกับมิกกี้เมาส์? ผมยังคงสงสัยอยู่มิวาย “ไม่เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อนหรอก แต่มิกกี้เมาส์ของเจ๊นี่สิ ที่มันออกดอกแดงเผินจนมีใครบางคนไม่รู้ เดินมาเด็ดไป เขาอาจคิดว่ามันมีเงินอยู่ในซองมั้ง?” “และนั่นแหละ เจ๊แกเอ็ดตะโรด่าดังลั่น โหวกเหวกโวยวายไม่มีหยุด และให้ตายเถอะ ที่เจ๊แกด่านั้นน่ะมันด่าเหน็บผมชัดๆ”
“เจ๊แกด่าลอยๆ เสียงแหลมเล็กมันชอนไชประสาทหูผมเหลือเกิน ด่าเสร็จเจ๊แกก็รดน้ำให้มิกกี้เมาส์
จากนั้นก็ผูกซองแดงติดเข้าไปอีก คราวนี้เต็มต้น” เขาถอนหายใจเบาๆอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี “เจ๊แกน่าจะดีใจต่างหากนะ ที่เทพเจ้ามาเด็ดซองแดงแกไป”
๒). ผมออกจากร้านของเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ เขาหงุดหงิดด้วยเรื่องมิกกี้เมาส์จริงหรือ? ไม่น่าจะใช่นัก แต่เมื่อมองถนนที่โล่งโจ้งโปร่งปลอดตลอดสาย นี่สิที่น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เขาหงุดหงิดมากกว่าไอ้ซองแดงอะไรนั่น เศรษฐกิจกำลังพังพาบ การค้าการขายเป็นไปอย่างยากเย็น ราคาข้าวของที่ขึ้นตามราคาน้ำมัน คนเก็บเงินกันมิดเม้ม ทุกคนต้องเขียมกันสุดชีวิต ด้วยไม่รู้ไม่แน่ใจในการเมือง ไหนจะเรื่องราวร้ายๆของชายแดนใต้อีกเล่า นักท่องเที่ยวก็ไม่เข้ามานานแล้ว ที่นี่มันอยู่ได้ด้วยเม็ดเงินชาวต่างชาติ เมื่อพวกเขาไม่มา ก็เท่ากับว่าเราถูกตัดมือตัดแขน ทำอะไรไม่เป็น และแน่ล่ะที่เมื่อคนโดนกระทบจากภาวะเช่นนั้นย่อมหงุดหงิด
ผมนึกถึงมิกกี้เมาส์ของเจ๊ มันรกเกะกะจริงๆนั่นแหละ ยิ่งมีซองสีแดงที่เจ๊แกมอบให้กับเทพเจ้าด้วย แล้ว มันยิ่งดูขัดหูขัดตานักสำหรับภาวะเช่นนี้ เจ๊แกน่าจะตัดยอดของมันออกสักหน่อย จากนั้นก็เล็มกิ่งก้านไร้ทิศทางนั้นออกบ้าง แล้วจะติดซองแดงกี่ซองก็ติดไปเถอะ ใส่เงินเข้าไปด้วยจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เผื่อใครที่ไม่รู้มาเด็ดไปจะได้ยินดี
ผมจอดมอเตอร์ไซค์หน้าร้านหนังสือ ก่อนเดินเข้าไปในร้าน ผมหยิบซองแดงออกมาแล้วโยนทิ้งลงถัง


๑๓ มีนาคม ๒๕๕๐

Comment #1
ปราง (Not Member)
Posted @15 มี.ค.50 17.12 ip : 203...254

หยิบมาทำไมอ่ะ

Comment #2
Posted @20 มี.ค.50 19.54 ip : 202...74

พี่หมี่ก็ปลูกต้น มินนี่เมาส์ ไว้ข่มต้น มิกกี้เมาส์ สิ 

ไม่ค่อยเข้าใจระบบในครอบครัวคนจีนอย่างนึง เท่าที่เคยได้ยิน คือ บ้านไหนมีลูกสาว ถ้าถึงเวลาออกเรือนแล้ว แต่ยังไม่แต่งงาน  ทุกคนในบ้านต้องหาทางให้อาหมวยผู้นั้น มีคู่ให้เร็วที่สุด เหมือนกับไม่ต้องการให้เป็นภาระกับทางบ้าน ยิ่งนานก็เหมือนกับตัวซวย ทำนองนั้น

เดี๋ยวนี้ความรู้สึกเขาจะเป็นแบบนี้กันหรือเปล่าไม่รู้นะ

Comment #3
Posted @21 มี.ค.50 1.46 ip : 203...111

ขอบคุณทุกเมนต์คร้าบบบบบ

Comment #4
ดาว (Not Member)
Posted @6 ก.พ.53 14.07 ip : 118...166

#) โอ้โห

สนุกมาก 


#)  :p  +)  ;)  :d :) :d  ;)  +)  :p  :p  :s

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 17 user(s)

User count is 2281366 person(s) and 9186841 hit(s) since 30 เม.ย. 2567 , Total 550 member(s).