เหรียญสิบที่มีด้านหัวสองด้าน

by หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก @26 ต.ค.47 21.19 ( IP : 203...114 ) | Tags : เรื่องสั้น-ความเรียง

เหรียญสิบที่มีด้านหัวสองด้าน ๑). เสร็จรึยังล่ะมึงน่ะ? เดี๋ยว    เดี๋ยวอีกนิด แม่งช้าชิบหาย    กูเมื่อยแล้วนะมึง เออ เออ  มึงช่วยเลื่อนไปตรงหัวๆอีกหน่อยได้ไหม?  นั่นแหละ  แรงๆหน่อยไอ้เหี้ย

ใต้สะพานลอยแห่งนั้น    เรามองอะไรไม่ชัดนักหรอก    เงาตะคุ่มๆที่ทีแรกคิดว่าเป็นใคร สักคน    มันอาจจะเป็นลังไม้ที่วางซ้อนกันหมิ่นเหม่อยู่ก็ได้    ยิ่งยามดึกฟ้ามืดสนิทเช่นนี้ด้วยละก็    เราแทบจะเอามืองมทางเอาตีนแหย่ทิศกันเลยทีเดียว    นานๆครั้งหรอกจึงจะมีแสงวับๆเขียวๆเป็นประกายคู่สุกอยู่ในความมืดนั่น    แต่ก็ไม่บ่อยนัก    เปี๊ยกกับแก้วไม่ชอบให้หมาหรือแมวมาเพ่นพ่านเยี่ยวขี้ให้เหม็นวิมานริมคลอง    ที่ด้านหนึ่งเป็นฝากำแพงทึบ    อีกด้านเป็นเสาสองต้นโล่งๆ    น้ำในคลองใหญ่สาดฝั่งอยู่โครมครืนเสมอ    แต่ละโครมแต่ละครืนก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็น    และหลายครั้งที่มีขยะใหญ่ๆลอยมาตามคลื่น    แน่ะ-ผักตบชวาเต้นเหยงๆอยู่บนผิวน้ำ  กระเพื่อมตุ๊บป่องๆเหมือนศพลอยอืด    โน่น-กล่องโฟมขาวนวลลอยอ้าปากพยักเพยิดหงึกๆดั่งหัตถ์แห่งนางคงคารูปงาม      ยามชีวิตไม่มีใครให้คิดถึง    หรือไม่รู้จะคิดถึงใครเพราะใครไม่คิดถึงเรากันหมดแล้วนั้น    มันน่าจะเป็นบรรยากาศที่เศร้าแกมสุขกึ่งทุเรศเวทนาชีวิตได้สาใจยิ่งนัก

ตามหลักฮวงจุ๊ย-นี่ย่อมมิใช่สถานที่เหมาะควรแก่การอยู่อาศัยอย่างแน่นอน    แม้จะมีลำ ธารอยู่หน้าบ้าน    มีกำแพงอยู่ด้านหลังก็ตามทีเถอะ    โอกาสที่ เขาจะรู้ เรานั้นมีความเป็นไปได้สูง    แต่นี่มันคือสะพานลอย    และคนที่เข้ามาจับจองพักอาศัยย่อมมิใช่นักธุรกิจ    หรือผู้ที่กำลังหาเรือนหอริมน้ำสักหลัง    จะฮวงจุ๊ยหรือหลุมฝังศพ    เปี๊ยกกับแก้วไม่สนใจหรอก    ขอแค่ให้มีที่ซุกหัวพอยืดเหยียดได้เท่านั้นพอ    แต่เพื่อกันการอุจจาดนัยน์ตาหมาไม่กี่ตัวที่มาดร้ายกันมานมนาน      เปี๊ยกจึงเอาลังไม้ฉำฉาเปื่อยๆมาวางซ้อนสองชั้นเรียงยาวพอดีตัวเวลานอน    ส่วนในฟากของแก้วนั้นไม่มีปัญหา    เพราะฝากำแพงได้ทำหน้าที่ลับแลและม่านบังตาไปในตัว    โหย่งตัวอ้อมกำแพงนั้นนิดหนึ่งก็เป็นทางขรุขระ    น้ำเจิ่งอยู่ตาปีตาชาติ    ไม่มีใครสัญจรผ่านไปมาหรอก    นอกจากไอ้หมาคู่อริที่มักจะมาแอบขี้แอบเยี่ยวใส่วิมานเท่านั้น

รั้วสังกะสีของบ้านที่ติดทางขรุขระนี่สิ    ลูกสาวสวยชะมัด        ยังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ของ โรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง    ขาว  สวย  อกเป็นกะเปาะ  หัวนมชมพูก่ำ    ชอบนุ่งกระโจมอกอาบน้ำในตุ่มหลังบ้านติดคลองใหญ่
เสร็จสักทีสิโว้ย..กูมั่ง    แก้วกระซิบเสียงเครียด เดี๋ยวสิวะ    มึงก็เร่งอยู่ได้    เร่งมือให้เหมือนเร่งปากได้ไหมวะ      บ่นชิบหาย    ก็กำ แน่นๆหน่อยสิไอ้เหี้ย    เปี๊ยกกระซิบเสียงเครือเครียดตอบ

เปี๊ยกกำลังยืนเกร็งอยู่บนลังไม้    มองข้ามรั้วสังกะสีไปยังร่างเด็กสาวอาบน้ำ    ใจเต้น โครมครามเหมือนน้ำในในคลองโดนระเบิดลง    แสงไฟ 60 วัตต์สาดร่างขาวนวลเนียนนั้นเด่นชัด    ร่องอกเบียดชิดอวดความหนั่นเด็กสาวขมวดผ้าถุงให้กระชับอีกครั้ง    ถูสบู่ตรงง่ามนิ้วตีน    นิ้วแหย่ไปมาทุกซอก    แล้วไล่เลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆจนเรียวน่องขาว    เปี๊ยกครางอือในลำคอ    เมื่อเห็นตะโพกกลมกลึงได้ส่วนแนบเน้นอยู่ในผ้าถุง
ปริ๊ด แก้วก้มหัวหลบทันใด    เมื่อรู้สึกว่าเกิดการไหลเคลื่อนของของเหลวบางชนิด    เร่งมือ และกำให้แน่นยิ่งขึ้น    จนได้ยินเสียงเปี๊ยกถอนหายใจเปี่ยมสุข กูมั่ง    แก้วรีบปีนขึ้นบนลังไม้    เอามือที่เปื้อนเช็ดกับก้นเปล่าเปลือย      แต่เด็กสาวก็ เดินเข้าบ้านเห็นหลังไวไวไปเสียแล้ว ดึกนั้นจึงได้เห็นเด็กหนุ่มรุ่นกระทงวิ่งไล่เตะกัน

๒).

หนุ่มรุ่นสองคนนี่มาจากไหนอย่าไปรู้เลย    เอาเป็นว่าต่างคนต่างโคจรมาเจอกันบนถนน ใหญ่ตีนสะพานลอยแห่งนี้ก็แล้วกัน
กูเห็นก่อน  มันต้องเป็นของกู  เปี๊ยกกำเหรียญสิบในมือแน่น    มืออีกข้างก็กางออก พร้อมระวังตัว    ไม่เสียเปรียบนักหรอกกับความสูงกว่าแค่คืบมือ    แก้วมองร่างล่ำๆของเปี๊ยกแล้วยิ้มมุมปาก
มึงหรือไอ้หน้าหมาตัวไหนเก็บได้ก็ช่าง    แต่เหรียญนี่เป็นของกู    มันหล่นตอนกูชักมือ ออกจากกระเป๋ากางเกง
เปี๊ยกมองกางเกงดำด่างขาดวิ่นของแก้ว  น้ำหน้าอย่างนี้นะหรือจะมีเหรียญให้หล่น
แล้วเปี๊ยกก็ถุยออกมาดังๆ มึงอมโบสถ์มาพูดกูก็ไม่เชื่อ      เหรียญนี่กูเจอที่ป้ายรถเมล์      พอเดินได้ 4-5 ก้าวมึงก็เข้า มาขอกูดื้อๆ    เจ้าเล่ห์เกินไปรึเปล่าวะมึง? แก้วหักนิ้วดังกรอบ    เสยผมด้วยมือซ้ายแล้วมือขวานั่นแหละที่ตบเปี๊ยกคว่ำเค้เก้ไปบน ทางเท้า    ผู้คนหันมามองเป็นตาเดียว    ถอยห่างออกพอให้พ้นพ้น      ไม่มีใครสนใจหรอก  พวกเขามารอรถเมล์    ไม่ได้มาดูมวย      ซ้ำยังเป็นมวยไร้สังกัดมวยวัด      เดี๋ยวก็กอดกันกลมเดี๋ยวก็ว่ายเข้าหากัน    เป็นเรื่องของเด็กข้างถนนสกปรกๆเท่านั้น    กระนั้นก็เถอะ    เล่นเอาทั้งคู่หูฉีกปากแตกไปเหมือนๆกัน เสียงเหรียญสิบหล่นหายไปอีกครั้ง      เปี๊ยกโบกมือห้ามแก้ว ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองหา     จมูกแตกเลือดไหลซิกซิกนั่นช่างมันเถอะ    ศักดิ์ศรีแห่งเหรียญสิบเท่านั้นที่เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะ    แก้วก้มมองหาวุ่นอยู่ด้วยอีกคน

สำหรับเราๆท่านๆ    อาจปล่อยให้เหรียญสิบกลิ้งล้อไปสุดแต่มันโดยไม่แยแสสักนิด    คง ไม่ตาลีตาเหลือกค้นมองหาให้ตกเป็นความทุเรศสายตาแก่เพื่อนร่วมรอรถเมล์      เพราะเราใส่เสื้อผ้าดีดี  ซักรีดเรียบร้อย      ไม่ขาดไม่กระดำกระด่าง    อีกทั้งแบงก์และเหรียญยังมีอยู่ในกระเป๋าอีกพอเพียงอยู่ใช่ไหม?      แต่มองเขาทั้งสองดูเถอะ    เขาได้ทำการแย่งชิงเหรียญสิบอันทุเรศเต็มประดานั้น    มันไม่ได้หมายถึงเพียงค่าบุหรี่สักมวนสองมวน    หรือค่าขนมเล็กๆน้อยๆ    หากรวมไปถึงบารมีที่จะเปล่งประกายอีกต่างหากเล่า    มองไปรอบรอบบริเวณนั้นดูทีเถิด    เราจะเห็นเด็กหนุ่มประเภทเดียวกับเปี๊ยกกับแก้วยืนมองดูอยู่ด้วยความระทึก    ไม่เคยมีใครอาจหาญท้าตีท้าต่อยกับแก้วมาก่อน    ไอ้เปี๊ยกมันเป็นใคร?    ถือดีมาจากไหนถึงได้มาฟาดปากกันอวดผู้คนริมถนน?  เราคิดใช่ไหมว่า    ที่ได้เด็กจรจัดสองคนมันต่อยตีก็เพราะมันใส่เสื้อผ้าขาดๆ    มันจึงไม่กลัวที่ชุดจะเปื้อนไปด้วยรอยตีนรอยหมัดหรือเลือดกำเดา      ใช่แน่ๆเราจะต้องคิดอย่างนั้น      และไอ้ที่มันไม่มีเสื้อผ้าดีดีใส่ก็เพราะมันไม่มีเงิน    เราเลยคิดไปว่าเหรียญสิบนั้นก็เหมือนกระดูกขาตั้งของหมู    และหมาสองตัวกำลังฟัดกันเพื่อแย่งชิง    ทั้งที่จะขบจะเคี้ยวอย่างไรก็ไม่แตก    ได้แต่เลียแผลบๆลิ้มรส  หาความอิ่มสักมื้อก็ยังไม่ได้ เปี๊ยกกับแก้วมันไม่สนใจหรอก    ว่าเราหรือใครที่รอรถเมล์จะคิดอย่างไรกับมัน    โน่น แน่ะ&ดวงตากร้าวๆที่เกรียมชีวิตเกินวัยต่างหาก    ที่มันกำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ได้ชม

ก่อนศึกเหรียญสิบอันลั่นเลื่อนจะเกิด    เปี๊ยกมันเดินมาจากหัวมุมถนนด้านโน้น  ก็ตาม ประสาของมันนั่นแหละ  ลักเล็กขโมยน้อยจากที่โน่น    แล้วเตลิดไปที่นั่น    ฉกชิงวิ่งราวจากซ้ายก็เผ่นไปขวา  ไปมันเรื่อยจนถึงที่นี่แหละ    มันผิวปากเพลงอะไรไม่รู้เรื่อยมาจนถึงป้ายรถเมล์      ก็เห็นอยู่ว่าเบื้องหลังคนรอรถมีเด็กรุ่นคราวเดียวกันกลุ่มหนึ่ง    ชำเลืองมองด้วยหางตาแวบเดียว  ก็ต้องหูผึ่งหันกลับไปตามเสียงเหรียญที่มีคนทำตก    เปี๊ยกมันรีบเดินแหวกกลุ่มคน    ตาก็สอดส่ายมองหาเสียงอันรัญจวนนั้น    กระหยิ่มยิ้มย่องว่าวันนี้ละเว้ยกูจะมีบุหรี่สูบล่ะ มันคงเป็นโชคลาภที่สวยสดเสียนี่กระไร  หากแก้วไม่ได้ยินเสียงนั่นด้วย

เปี๊ยกใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดกำเดา    ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง    เหรียญสิบนั้นคงกลิ้งหลุนลง ร่องลงคู    ไม่ก็คงมีใครสักคนเตะมันกลิ้งหลุนๆไปกลางถนนอย่างไม่ตั้งใจ    ป่วยการที่จะค้นหา    เหลือบเห็นแก้วยืนเท้าสะเอวยิ้มน้อยๆที่มุมปาก    ก็สืบเท้าก้าวเข้าหา ไม่รู้ไปไหนแล้วว่ะ    เปี๊ยกบ่นเสียดาย
มึงเป็นคนก่อเรื่องจนเหรียญของกูหายไป  มึงหามาจ่ายกูก็แล้วกัน  เปี๊ยกเดินประชิดติด ตัวแก้ว  เงยหน้าทวง อุวะ  กูบอกว่ามันเป็นของกูเงินกู  หูมึงแตกรึยังไงไอ้สันดาน  แก้วตะเบ็งเสียงกร้าว
ผลักอกเปี๊ยกจนเซร่น มึงนั่นแหละจ่ายกูมายี่สิบ  แล้วเชิญมึงไปให้พ้นๆ    แก้วผลักอกเปี๊ยกซ้ำอีกที  ลูกคู่สี่ห้า คนรายล้อมเปี๊ยกไว้แน่นหนา ตกลง  ตกลง    เอาเป็นว่ามึงกับกูเป็นหนี้กันและกันคนละสิบาท  เจ๊ากันไป  แก้วคว้า คอเสื้อเปื่อยๆของเปี๊ยก  มองดวงตาดำคมและกร้าวคู่นั้นก็เห็นดวงตาของตนอยู่ในดวงตาของเปี๊ยก    มันไม่หลบสายตาสักนิด  ดื้อเหมือนกูเลยนะมึง มึงมาจากไหน? กงการอะไรของมึงด้วย?  ปล่อยกูนะ  เลือดกำเดายังซึมๆอยู่ที่จมูก เออ  เชิญมึงไปตามทางได้แล้ว  และไม่ต้องเสือกผ่านมาแถวนี้อีก  ที่นี่กูคุม แก้วเดินหันหลังกลับไปยังวิมานสะพานลอย  เปี๊ยกถ่ม ทุด ออกมาดังๆไล่หลัง


๓).

มึงมาจากไหน?    นั่นสิ-กูมาจากไหน?  เปี๊ยกรำพึงเบาๆขณะเดินไปตามทางเหงา
กูก็เกิดและเติบโตมาในเมืองเหี้ยๆนี่แหละ  พบคนเหี้ยๆแบบมึงแบบกูมาตลอดสิบกว่าปี  มึงหมายถึงบ้านนะหรือ?    ป่านนี้แม่กูคงนอนอยู่กับไอ้ผู้ชายเหี้ยๆสักตัวในโรงแรมเหี้ยๆสักแห่ง    หนึ่งในผู้ชายเหี้ยๆนั่นอาจเป็นพ่อเหี้ยๆของกู    ที่เงี่ยนแล้วกลับมาหาแม่กูก็ได้    มึงจะรู้ไปทำไมกูมาจากไหน?  กูก็มาจากรูที่แม่กูเบ่งมาพอให้พ้นๆรำคาญเท่านั้นเอง    เลี้ยงกูด้วยฝ่าตีน  อบรมกูด้วยคำด่า  จนกูเป็นเด็กเหี้ยๆแบบมึงนี่แหละ    แต่กูก็รักแม่  กูอาจมีพ่อเป็นโหลๆ  แต่กูมีแม่คนเดียว&.  น้ำตาเริ่มซึม  ปวดกระบอกตาชิบหาย  เพื่อนๆกูก็มีแม่เป็นกะหรี่ราคาถูกๆเกือบทั้งนั้น    ดูเหมือนว่าบ้านในสลัมนั้น    เรื่องเหี้ยๆบัดซบๆจะถูกสังคมเอาไม้เขี่ยมากองรวมกันเป็นพะเนิน    ป้าหวานข้างบ้านกูถูกรถชนตายเหมือนหมาข้างถนน    พลเมืองดีช่วยกันเอากระดาษหนังสือพิมพ์ที่อ่านแล้วมาคลุมร่างโชกเลือดกันกินข้าวไม่ลง  ปอเต๊กตึ๊งโกยสมองใส่ถุง    แล้วห่อป้าหวานด้วยผ้า    อีเปิ้ลก็เหลือแต่มันคนเดียวละทีนี้    อีกไม่กี่ปีมันก็โตพอจะเป็นกะหรี่ได้แล้ว

เราเดินตามหลังเปี๊ยกไปกันเถอะ  ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ว่าปูมหลังของมันจะเป็นอย่างไร
มันเดินก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อยๆไปโน่นแล้ว    รีบเร่งเถอะ    ไม่งั้นเราอาจจะไม่เห็นเส้นผมแข็งๆเหนียวๆกระเซิงๆของมัน  ไม่เห็นขี้ไคลเป็นปื้นตามหลังคอ    และถ้าเราเร่งให้ทันล้ำหน้าไปเล็กน้อย    ลองบอกให้มันยิงฟันให้ดูเถอะ  ดูสิว่าจะเหลืองอ๋อยหรือผุเป็นโพรงดำเหมือนมะยมเน่าเพียงใด แต่ระวังหน่อย    เปี๊ยกมันไม่ชอบให้ใครไปยุ่มย่ามกับชีวิตมันนัก    มันมีโลกของมัน
อาจจะมืดมนมองหาหนทางไม่เห็น    หรือจะส่งกลิ่นเหม็นหืนเพียงใดก็ตามที    มันก็โลกของมัน เราเองควรระวังโลกของเราเอาไว้ให้ดี  เกิดมันจับได้ว่าเรากำลังตามติด    มันไม่สนใจหรอกว่าเราเป็นใคร  นี่สิน่ากลัวนัก  ยิ่งมันกำลังร้องไห้แบบนี้เอยู่ด้วยละก็  เราควรเดินตามห่างๆ  รักษาระยะอย่างนี้จะดีที่สุด
ไฟแดงสว่างอยู่ตรงสี่แยก    รถทุกชนิดยี่ห้อเบรคกันตัวโก่ง  เปี๊ยกปาดน้ำตาทิ้งเต็มแรง     ด่าแม่รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันสวย  แล้ววิ่งข้ามถนนหายลับไปตรงมุมตึก

ปล่อยเปี๊ยกไปตามทางของมันเถอะ  มันกำลังสับสน  คิดถึงบ้านแต่ไม่อยากกลับบ้าน
  โหยหาแม่แต่เกลียดกลัวอารมณ์โมโหร้าย    เปี๊ยกเดินไปอีกนาน    ถึงอีกสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย    ที่นั่นจะมีสนามเด็กเล่นร้างๆอยู่แห่งหนึ่ง  กว้างขวางเอาการ    ไม่ค่อยมีผู้คนมาพักผ่อนพาลูกหลานมาวิ่งเล่นนานแล้ว    ด้วยเด็กๆต้องเรียนหนังสือทั้งวัน  แล้วไหนจะเรียนพิเศษอีก    พวกเขาโตขึ้นก็เลยเข้าสังคมได้ยาก  มีเพื่อนแต่ความสัมพันธ์นั้นหลวมเต็มทน    พวกเขามีคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อน    ที่ภาพสะท้อนหน้าจอมีแต่ใบหน้าของเขาเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างเขาต้องเป็นผู้กำหนด  และเกมคอมพิวเตอร์นั้นเขาต้องเป็นผู้ชนะสถานเดียว  มิว่าจะด้วยวิธีการใด    แต่ช่างมันเถอะ      เราไม่ได้สนใจจะพูดถึงเด็กเหล้านั้นนี่  เรากำลังพูดถึงเปี๊ยก    ไอ้เปี๊ยกที่กำลังนั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียวบนชิงช้าไม้      ชิงช้าไม้เก่าๆใต้ต้นประดู่ที่มันมักแอบมานั่งร้องไห้คนเดียวเสมอ

นึกถึงวันที่มันออกจากบ้านแล้วน่าเวทนานัก    เด็กอายุเพิ่งจะสิบกว่าปีต้องแบกชีวิต ไว้บนขาเรียวเล็กสองข้าง    ฟังเพลงโศกของน้ำย่อยที่คอยกัดกร่อนกระเพาะอาหาร    หิวจนไส้ขมรู้ได้ถึงลำคอ    อันที่จริงเด็กวัยขนาดนี้ควรที่จะได้อยู่ในชุดนักเรียนยามกลางวัน    และกลางคืนควรได้พักผ่อนในบ้านที่มีพ่อมีแม่    ถึงจะมีเพียงสาดเสื่อผืนเดียวก็เถอะ    อย่างน้อยเขาก็จะรู้สึกปลอดภัย      การได้นอนหลับอย่างเต็มที่    จะทำให้เขาตื่นมาอย่างเบิกบาน    ไม่ใช่ขดตัวอยู่บนทางเท้าใต้กันสาด    หรือที่ที่เราถุยน้ำลายอยู่เป็นประจำ
ก็ถ้าเพียงแค่คืนนั้นแม่ไม่เมาแอ๋กลับมาพร้อมพ่อแปลกหน้าคนใหม่    ร้องเพลงเอะอะ อึกทึกรบกวนชาวบ้านในยามดึกดื่น    เปี๊ยกมันก็คงไม่ฉีกขี้ตาตื่นมาบอกให้เพลาเสียงลงหน่อย    ชาวบ้านละแวกนั้นร้ายนัก    ไม่มีใครกลัวใคร      และทนไม่ได้แม้เพียงนิดที่ใครคนอื่นจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวในยามวิกาล      เสียงแม่ร้องเพลงเหมือนจะตะเบ็งให้คอแตกนี่แหละ  ที่จะก่อสงครามยามดึก    เปี๊ยกสลัดผ้าห่มบางๆถลันออกมานอกบ้าน    ปรามแม่ด้วยท่วงท่าหวาดหวั่น    แม่มองหน้าเปี๊ยกนิ่ง  นัยน์ตาปรือใกล้หลับเต็มที    พยักหน้าหงึกๆ    เสียงเพลงเงียบหาย    ได้ยินแต่เสียงหัวใจเปี๊ยกเต้นโครมๆอยู่ในอก  นัยน์ตาปรือๆหากบางเฉียบนั้นเล่นเอาเปี๊ยกเข่าอ่อน เข้านอนเถอะแม่
เปี๊ยกจับต้นแขนแม่อย่างกลัวๆ  ไม่ได้ผล  แม่ยืนตัวแข็ง    มองหน้าไอ้ลูกไม่มีพ่อนิ่งนาน ดวงตาแดงก่ำนั้นยิ่งก่ำแดงด้วยความโกรธ    หนอยแน่ะไอ้ลูกหมากำพร้า  มึงกล้าดีอย่างไรมาออกคำสั่งกับกู    ส่วนไอ้ขี้เมาอีกคนนั้นแสดงสีหน้ารำคาญไอ้ลูกหมาตัวนี้เหลือกำลัง    เปี๊ยกสบตาตอบก็เห็นเขากำลังโอบแม่เดินเข้าบ้าน  มือนั้นบีบนมแม่เบาๆ  คลึงไปคลึงมาให้เปี๊ยกเห็น    เป็นเชิงว่ากระดูกมึงยังอ่อนนักไอ้ลูกหมา      เปี๊ยกด่าแม่ผู้ชายคนนั้นเสียงลั่น ฉาด!  แม่ตบเปี๊ยกเต็มแรง  ความสุขสนุกจากร้านคาราโอเกะเมื่อครู่เลือนหายสิ้นเพราะ ไอ้ลูกระยำคนนี้    แม่ยกเข่งขยะครอบไปบนหัวเปี๊ยก    ฐานที่ทำให้บรรยากาศราคาแพงกระเจิดกระเจิง  เสียงด่า อึงอลไม่ได้ศัพท์ก้องอยู่ในหัวเปี๊ยกจนจับความไม่ได้    เสียงหวีดเสียงร้องไห้วิงวอนยิ่งทำให้แม่คลั่ง    แม่จิกหัวเปี๊ยกทั้งตบทั้งตีพร้อมแช่งด่า    ที่สุดก็ไล่เปี๊ยกออกจากบ้านทั้งๆชุดเปื่อยๆในดึกสงัดๆหนาวเหน็บคืนนั้น กูจะทำมาหากิน    แล้วแม่ก็เดินฉับๆขึ้นบ้านตามผู้ชายคนนั้น

เปี๊ยกยังนั่งอยู่ที่ใต้ต้นประดู่ใหญ่ต้นนั้น    ความก้าวร้าวความเกรียมกร้านชีวิตแปรเปลี่ยน เป็นหยดน้ำตา    จริงๆเปี๊ยกมันก็รู้ว่ามันอ่อนแอ    ยังเป็นลูกเจี๊ยบที่คอยซุกใต้ปีกแม่ยามอีเหยี่ยวบินผ่าน    เปี๊ยกเคยกลับเข้าบ้านสักสองสามครั้ง  แต่แม่ไม่อยู่ในอาการที่จะเข้าใกล้ได้เลย    เปี๊ยกต้องรักษาระยะห่างเอาไว้หนึ่งฝาหม้อปลิว  แล้วค่อยขยับเข้าใกล้เหลือเพียงระยะหมอนดำๆ  ตลอดเวลาเปี๊ยกต้องปล่อยคำสาปแช่งด่าทอผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา    ไม่ให้มันซึมซาบเข้าในสมองแล้วไหลเลื่อนลงหัวใจเป็นอันขาด    เปี๊ยกจะค่อยๆขยับเข้าใกล้อีกนิดจนเหลือระยะแขน    ก็ยังดี    ยังไงมันก็เป็นฝ่ามือของแม่    เป็นรสชาติที่คุ้นเคยมาแสนนาน    แต่เปี๊ยกมันลืมนึกถึงระยะเท้า! สองสามครั้งที่เป็นอย่างนี้    แม้ครั้งหลังสุดเปี๊ยกจะระวังระยะเท้าเต็มที่ก็ตาม    แต่แม่ก็ยัง คว้าไม้กวาดมารักษาระยะเสมอ    ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายนัก  นอกเสียจากแม่เมา      และไม่สามารถเลี้ยงดูปากท้องอีกคนหนึ่งได้  ท้องใครท้องมัน!  รูปร่างยับย่นของแม่เสนอราคาถูกๆได้เพียงแขกขี้เมาสกปรกๆ    และรอเวลาจะกลายสภาพเป็นกองเนื้อเน่าๆ    จ่อมจมอยู่บนฟูกอับๆเหม็นๆในบ้านสลัม  มันจะเป็นอย่างไรหนอ?  กับชีวิตที่ขับเคลื่อนไปด้วยหัวใจเจ็บร้าว    แม่จะรู้สึกเช่นไร?  เมื่อเปี๊ยกโผกอดแม่แล้วร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย    ก่อนสะบัดมือตัวเองออกอย่างแรง    แล้วหันหลังเดินออกไปทันทีโดยไม่หวนกลับมาอีกเลย      อย่าถามว่ามันจะไปไหน    ในเมื่อมันเองยังไม่รู้เลย เปี๊ยกเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา  ต้นประดู่ใหญ่ทอดเงาบังแดดไปตามพื้นราบ    ถุงกรอบแกรบ ถูกลมเป่าจนพอง      ลอยขึ้นเหนือยอดหญ้าเล็กน้อย  แล้วเรี่ยไปจนสุดแรงลม      ศึกเหรียญสิบเมื่อครู่เริ่มสำแดงอาการเป็นผื่นแดงตรงแก้ม    เบ้าตายังปวดตุบตุบ
มึงรังแกได้ก็แต่เด็กละวะ  เปี๊ยกรำพึงเบาๆ

สนธยากำลังคืบเคลื่อนเข้าปกคลุมสนามเด็กเล่น  ตีนฟ้าโพ้นลิบดำไปนานแล้ว  เหลือช่วง เหนือหัวของเปี๊ยกเท่านั้นที่ยังคงอ้อยอิ่งทิ้งช่วงแดงก่ำ    เป็นความเงียบที่สงบและสงัดยิ่งนักกลางใจเมือง  หญ้าคาสูงท่วมหัวรกครึ้มอยู่เป็นระยะ  เสียงจิ้งหรีดไม่กี่ตัวกำลังขับปีกบรรเลงเพลงรอรับราตรี    เปี๊ยกเอนตัวลงนอน  เคลิ้มฝันไปถึงอกอุ่นๆของแม่    ในฝันเปี๊ยกมีความสุข    แม่กอดรัดเปี๊ยกไว้แน่น  น้ำตาแม่ไหลร่วงลงต้องแก้มมอมแมมของเปี๊ยก    แม่ขอโทษ  แม่รอเปี๊ยกกลับบ้าน    กับข้าวร้อนๆที่เพิ่งซื้อจากตลาดรออยู่ในจาน  น้ำปลาทิพรสที่แสนวิเศษเต็มขวด    แม่อยู่ในชุดผ้าถุงเสื้อยืดบางๆไม่สวมยกทรง    เปี๊ยกแอบชำเลืองมองนมแม่จากคอเสื้อ      เปี๊ยกไม่เคยได้กินนมแม่เลย  เปี๊ยกโตมากับน้ำข้าวและนมกระป๋อง    นมอันย้วยยืดหยุ่นนั้นเปี๊ยกไม่เคยได้แตะต้องแม้เพียงหยดน้ำนม    แม่ก้มยื่นจานกับข้าวที่วางกับพื้นให้ใกล้มือเปี๊ยก  นมแม่แกว่งไกวไปมาอยู่ในเสื้อยืด    เปี๊ยกตาลุกโพลง    ความรู้สึกแปลกๆตื่นตัวเต็มที่    ค่อยๆเอื้อมฝ่ามือไปอังนมแม่    แล้วค่อยๆบีบแรงเข้า  เคล้นคลึงจนรู้สึกถึงความแข็งของหัวนม    ในความตื่นตัวนั้น  มันมีความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งที่คอบกำกับให้หายใจลึก  ความกลัวรสมือรสจานข้าวที่เคยโดนฟาดหัวมานับไม่ถ้วน    ทำให้มือที่เคล้นคลึงนั้นเริ่มอ่อนแรง    แม่ช้อนสายตามองเปี๊ยก    สายตาที่เปี๊ยกไม่เคยได้เห็นจากตาของแม่เลย    แล้วแม่ก็ถอดเสื้อออกจากกาย  สองแม่ลูกกอดคลุกกันกลางวงข้าว      ในฝัน  ดวงตาเปี๊ยกกร้าวแข็ง    การโหมกระหน่ำรุนแรงที่อธิบายไม่ได้ว่ารักหรือเจ็บแค้น  สมองวุ่นวายอึงอลด้วยภาพพ่อแปลกหน้ามากมายกำลังขย่มแม่  รสไม้กวาดที่เคยโดนฟาดกลางหลัง  แล้วจู่ๆภาพที่แม่เมาแอ๋เดินเข้าบ้านนอนร้องไห้สิ้นหวังในชีวิตก็ปรากฏ  สลับสับเปลี่ยนกันอย่างอึกทึก    เปี๊ยกยิ่งกระหน่ำเฆี่ยนสัตว์ร้ายในดวงตาลงไปที่แม่& เปี๊ยกตกใจตื่นเหงื่อเต็มใบหน้า    สนามเด็กเล่นเวิ้งว้างรกชัฏปรากฏอยู่ในความมืดดำ
เสียงจิ้งหรีดไม่กี่ตัวก็ยิ่งขับปีกกรีดลึกลงในดวงใจ    ความรู้สึกผิดความรู้สึกละอายและความกลัวกำลังสุมทับหัวใจเสียจนอ่อนแรง    มันร้องไห้สุดเสียง  แหกปากกรีดร้องแข่งกับจิ้งหรีดไม่กี่ตัวนั้นด้วยความโศกเศร้าสับสน  โลกของมันกำลังพังทลายลงมาถมทับ    ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ  ดวงดาวมากมายดิ่งลงมาปักหัว  ฉีกกะโหลกแบะออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย      เปี๊ยกนั่งกอดเข่าร้องไห้  สะอึกสะอื้นราวนรกเปิดประตูรอรับ
กางเกงของมันเปียกแฉะด้วยน้ำอะไรที่มันไม่รู้!


๔). วิถีของเด็กข้างถนนแต่ละคนมันก็คงไม่ต่างกันนัก      ถนนสายที่เปี๊ยกกำลังเดินหาอะไรก็ ได้ที่กินได้    อาจเป็นสายที่แก้วกำลังเดินจากไปไม่นานนัก    เช่นเดียวกับที่สนามเด็กเล่นนั้น  แก้วอาจกำลังนอนหลับฝันถึงแม่หรือถึงใครสักคน      หลังจากที่เปี๊ยกได้ตะโกนอย่างบ้าคลั่งในค่ำที่ฝันร้ายพิลึกพิลั่น    แล้วอะไรสักอย่างของเด็กข้างถนนก็อาจจะนำมันสองคนโคจรมาเจอกันอีกครั้ง    เป็นการเจอกันในห้วงยามที่ต่างฝ่ายต่างกำลังอ่อนแอและหวาดกลัวความมืดมนเบื้องหน้าของชีวิต    เส้นทางที่ไร้จุดหมายนั้นวนเวียนกันอยู่เพียงถนนไม่กี่สาย    ตลาด  สนามเด็กเล่น  และวิมานใต้สะพานลอย      เราอาจรู้สึกแปลกใจต่อถนนสายวนเวียนของมันทั้งสอง      เราไม่เคยทึบตันหนทางถึงขนาดที่ไปไหนไม่ได้  เราไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกวนเวียนตายในวงกตนั้นเป็นอย่างไร      เราตื่นเช้าขับรถไปทำงาน  เรามีข้าวกิน  แล้วเรากลับบ้าน    วันหยุดเราไปพักผ่อนต่างจังหวัด    เราไม่เข้าใจหรอกว่าการต้องเดินวนเวียนอยู่กับเส้นทางเก่าๆ    ที่เมื่อพ้นจากละแวกตนเองแล้วอันตรายจากมนุษย์พันธุ์เดียวกันนั้นรุนแรงแค่ไหน    เปี๊ยกไง  รุนแรงเหมือนที่เปี๊ยกมันได้เจอมาแล้วจากแก้ว    อาจไม่ถึงขั้นเป็นศึกใหญ่โต  แต่เหรียญสิบเหรียญเดียวที่เรากล้าปล่อยมันให้กลิ้งลงท่อไปได้นั้น    สำหรับมันทั้งสองไม่ใช่เลย    มันพร้อมที่จะทำศึกเพื่อเหรียญสิบเหรียญเดียว    และมันเป็นความทุเรศเวทนาอย่างที่สุดสำหรับเรา ใช่หรือไม่?

มันสองคนเดินอิดโรยมาเจอกันตามลำพังตรงสี่แยก      ต่างฝ่ายต่างชะงักและขัดๆเขินๆที่ ต้องสบตากันอีกครั้ง    ไม่มีใครเกรงใครหรอก    แต่หลังจากที่ได้ฟาดปากกันพอหอมปากหอมคอนั้น ทั้งเปี๊ยกและแก้วก็เกิดคำถามมากมายถึงชีวิตตนขึ้นมา  มันพยายามหาคำตอบจากความมืดทึบนั้น  แต่ความมืดทึบนั้นก็กว้างขวางใหญ่โตเหลือเกิน      ตาคู่หนึ่งที่สะท้อนดวงตาอีกคู่หนึ่ง  มันจึงเหมือนกับการส่องกระจกเงา    เห็นใบหน้าตนเองมอมแมมแปดเปื้อนสกปรกอยู่ในอีกดวงตา  เหมือนเหรียญสิบที่ถูกสร้างมาผิดพลาดให้มีด้านหัวทั้งสองด้าน!    แล้วยิ้มแรกของแก้วก็มีให้แก่เปี๊ยก    ยิ้มที่เหนื่อยล้าและต้องการคนพูดคุยสักคน หวัดดี  แก้วเอ่ยทักคำแรกแผ่วเบา &.        เปี๊ยกเบนหน้าหนีเมินเฉย ไม่ยากหรอกสำหรับมิตรภาพ    ลงว่าเมื่อใครสักคนลดทิฐิตน    อีกฝ่ายก็ต้องใจอ่อนลง เป็นธรรมดา  ยิ่งในวัยที่เพิ่งผ่านโลกมาไม่เท่าไร    ซ้ำยังเป็นวัยเยาว์ที่ชีวิตราวกับหลุดมาจากพิมพ์เดียวกันอย่างนี้  ไม่นานเปี๊ยกก็พยักหน้ารับรอยยิ้มนั้นง่ายๆ  แล้วการทำความรู้จักกันก็ต่อเนื่องเรื่อยไปจนดึกดื่น    หลับอยู่ในมิตรภาพอันหวานฉ่ำที่อิ่มเอิบใจนัก      และต่างลืมเหรียญสิบเหรียญนั้นกันไป

แก้วชวนเปี๊ยกไปยังวิมานใต้สะพานลอย    กลุ่มเพื่อนของแก้วต่างอยู่กันคนละที่ละทาง ยามกลางวันตลอดจนค่ำก็เดินรวมกลุ่มกันสะเปะสะปะงมทางไปตามยถา    จวบดึกดื่นนั่นแหละที่ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปหลับนอนในซอกมุมที่ตนจับจองเป็นเจ้าของ      เพื่อต่างฝันในโลกส่วนตัวอย่างเศร้าสร้อยไปตามลำพังตน    เปี๊ยกมองวิมานแห่งนั้นอย่างพึงพอใจ      มองหากล่องกระดาษมากั้นเป็นห้องเป็นฉากโลกสำหรับส่วนตัว
๕).

เด็กสาว ม. ๒ คนนั้นเดินเข้าบ้านเห็นหลังไวไว    เธอเอื้อมมือปิดไฟแล้วเหลือบสายตา มองไปยังรั้วสังกะสี      แอบอยู่กับประตูเงียบกริบ    ก่อนค่อยๆปลดปมผ้าถุงออกพอให้เต้ากลมขาวเป็นกระเปาะโผล่ออกมา    เธอหัวเราะคิกเมื่อเห็นดวงตาของเปี๊ยกลุกวาวอยู่ในความสลัวของไฟริมคลอง    และก่อนที่เปี๊ยกจะโดนแก้ววิ่งไล่เตะ    เธอเผยนวลเนื้อทั้งร่างให้เปี๊ยกเห็นเป็นที่ชัดตา!


หมี่เป็ดสิวะ!
๑๕  กันย์  ๒๕๔๗

พิมพ์ครั้งแรก  จิ้งจกทัก  ๕

Comment #1
ผักเสี้ยว (Not Member)
Posted @28 ต.ค.47 3.10 ip : 202...9

ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ยัยเด็ก ม.๒ คนนั้น จะจับฟาดให้หลังลาย!!!!

Comment #2
พระเจ้า (Not Member)
Posted @10 พ.ย.47 21.59 ip : 203...118

อ่านเรื่องนี้ผมรู้เลย พี่หมี่ฯนี่ก็คอโลลิฯตัวจริงเหมือนกัน(โอ๊ย!! นี่ถ้าเมื่อก่อนเล่นไอซีคิวกันนะ รับรองผมส่งให้เพียบเลยล่ะ)

แสดงความคิดเห็น

« 3575
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง

งานเขียนของข้าพเจ้า

personมุมสมาชิก

Last 10 Member Post

Web Statistics : online 0 member(s) of 2 user(s)

User count is 2285753 person(s) and 9312470 hit(s) since 6 พ.ค. 2567 , Total 550 member(s).