มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ : วัฒนธรรมก้อนครึ่งไม่ชูรส
มาจากร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ : วัฒนธรรมก้อนครึ่งไม่ชูรส.
สักวันข้าพเจ้าจะโค่นล้มโรงงานผงชูรสทุกแห่ง! ๑). อาจเรียกได้ว่า - การทำเส้นบะหมี่ของที่ร้านเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ด้วยเครื่องจักรไม่กี่แรงม้าสองตัว ตัวหนึ่งส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั้งละม้ายสงเคราะห์ มันกระแทกประสาทผู้คนด้วยการกระหน่ำทุ่นลงเนื้อแป้งปัง ปัง สายพานส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเอี๊ยดอ๊าด ขณะที่อีกตัวนั้นจะรีดแป้งที่ถูกกระหน่ำจนแบนเรียบให้ราบบางลงไปอีก เราสร้างห้องทำเส้นเอาไว้หลังบ้าน ปิดประตูมิดชิดเพื่อต้องการฟังเสียงราวโลกถล่มทลายไว้ตามลำพังอย่างหวงแหนยิ่ง และเพื่อกล้ามเนื้อทุกมัดของเราจะได้หลั่งเหงื่อบริสุทธิ์ชะโลมเนื้อตัวสีทองแดงเข้ม!
แต่เครื่องจักรนั้นก็หาใช่คำตอบสำเร็จรูปไม่ สำหรับบะหมี่ที่ต้องการความเหนียวนุ่ม และนิ้วโป้งจากลูกค้า
โรงกลึงแห่งหนึ่งในกรุงเทพได้เสนอเครื่องทำบะหมี่แบบเทแป้งลงไป กดสวิชท์แล้วไปนั่งกระดิกเท้าอ่านหนังสือพิมพ์ รอบะหมี่ที่จะออกมาเป็นก้อนๆโดยไม่ต้องมานั่งปั้นทีละก้อนเหมือนก่อน ข้าพเจ้าออกจะเคลิ้มๆอยู่เหมือนกันกับศักยภาพของเครื่องจักร อีกทั้งช่วงเวลาหลายชั่วโมงยังสามารถทำอย่างอื่นได้ มันคงจะดีที่เราสามารถทุ่นแรงทุ่นเวลา หากพลันนั้น ข้าพเจ้ามิฉุกคิดถึงองค์ประกอบอันสำคัญยิ่งของการทำเส้น
จะว่าดักดานก็ย่อมได้ จะว่าโง่ก็ย่อมได้เข้าไปใหญ่ กับการที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในคุณค่าแรงงานมนุษย์ มากกว่าระบบออโตเมติคของเครื่องจักรกล สองมือที่นวดแป้งนับสิบกิโลให้ได้แป้งเนื้อเหนียวนั้น มันละเอียดอ่อนเกินกว่าเครื่องจักรไร้ความรู้สึกจะสัมผัสได้ ด้วยสองมืออันแกร่งที่ขยำขยี้เนื้อแป้งจนเหนียวเหนอะเป็นเนื้อเดียวกันนี่แหละ ที่จะรู้ว่าต้องเหนียวต้องนิ่มอีกเพียงไรจึงจะอร่อยพอดีลิ้น เครื่องจักรที่ไหนในโลกก็ทำไม่ได้หรอกท่าน
เสียก็แต่การนวดแป้งด้วยมือนี้ มันปวดบั้นเอวชะมัด..
เถ่าชิ่วผู้ผ่านการลวกหมี่มานับสิบปี ย่อมรู้ดีว่าทำอย่างไรหมี่หนึ่งก้อนจึงจะสุกได้นุ่มเหนียว ทำอย่างไรจึงจะสะเด็ดน้ำออกได้หมด เพื่อรอการคลุกน้ำมันกรุ่นหอมกระเทียมเจียว บะหมี่แต่ละก้อนมันจึงคือผลิตผลทางศิลปะชนิดหนึ่ง ที่ต้องศิลปินเท่านั้นจึงจะเนรมิตขึ้นมาได้ เถ่าชิ่วเจ้าอื่นอาจลวกหมี่ได้อ่อนช้อย ท่วงท่างดงามชวนมองเพลิน แต่สำหรับเถ่าชิ่วอย่างข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าผู้มีนัยน์ตาสีสนิมเหล็กนี่แหละ ท่วงท่าหาได้อ่อนช้อยแช่มช้าเหมือนการรำบำบวงถวายสักการะเทพองค์ใดไม่ การเกร็งกล้ามเนื้อแขน ลำคอ หน้าท้อง และขาที่แยกห่างกันเป็นฐานอันมั่นคง ดวงตาที่จับจ้องขมึงทึง คู่คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ข้าพเจ้ามิปรารถนาแม้สักนิด หากบะหมี่ก้อนนั้นมิผ่านอากาศก่อนร่วงลงสู่ตะแกรง ในขณะนั้นสมองข้าพเจ้าก็กำลังคำนวณเวลา จำนวนลูกค้าที่รออยู่ พร้อมๆกับรายการต่างๆของลูกค้าที่เรียงทะยอยออเดอร์กันมา ข้าพเจ้าใช้ตะเกียบขนาดยาว กวนบะหมี่ในถ้วยให้คลุกน้ำมันกระเทียมเจียว รุนแรง กราดเกรี้ยว เด็ดเดี่ยว และอย่างเด็ดขาด
เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะเป็น บะหมี่เทพ ได้อย่างไร? นอกเสียจาก บะหมี่เดวิล ผู้ขายวิญญาณให้แล้วกับซาตานบะหมี่!
การจะได้มาซึ่งบะหมี่แต่ละถ้วยมันมีประวัติศาสตร์ เป็นประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดจากคนไปสู่คน แรงงานและความทุ่มเทในห้องแป้ง การลวกที่ยืนระยะเวลามายาวนาน ชื่อเสียงที่เตี่ยสั่งสมมานับสิบสิบปี มันเป็นการเจือความภาคภูมิใจและรักในการงานลงในบะหมี่แต่ละถ้วย เป็นการอยู่ร่วมกันและกันในสังคม รสชาติคือการปรุงแต่งฉันใด ข้าพเจ้าก็กำลังปรุงแต่งรสชาติอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงไม่แปลกใจนักที่จะเห็นลูกค้ามากรายสั่งบะหมี่ถ้วยละสองก้อน สามก้อน ไปจนถึงสี่ก้อน
บะหมี่หนึ่งก้อนมีขนาดเท่าใด? ข้าพเจ้าคงคลี่แล้วนับเส้นให้ท่านไม่ได้หรอก เอาเป็นว่า สำหรับหญิงสาวสวยสะโอดสะองกินหนึ่งอิ่ม ท่านพอจะนึกภาพออกได้บ้างกระมัง?
แต่สำหรับ ไอซ์ เด็กสาวมัธยม ๕ สวย บอบบาง และร่าเริงอารมณ์ดีเสมอ เธอมั่นคงอยู่กับบะหมี่น้ำสี่ก้อน ไก่อย่างเดียวไม่หนังไม่ผัก ไม่กระเทียมเจียว มาตลอด ๑๐ ปีเต็ม เธอจะสั่งบะหมี่อย่างไม่รู้สึกว่าต้องอับอายแต่อย่างใดกับการเป็นคนกินจุ แม้ทุกครั้งทุกสายตาจะจับจ้องไปยังเธออย่างไม่เชื่อสายตา ว่าเด็กสาวสวยอ้อนแอ้นอรชร เอวบางร่างน้อยใบหน้าแฉล้ม ยิ้มที่เบิกโลกให้สว่างไสวขึ้นในฉับพลัน เช่นนี้ จะกินลงไปได้อย่างไรตั้ง ๔ ก้อน! หนำซ้ำยังเป็น ๔ ก้อนน้ำอีกด้วย!
ไอซ์จะเดินยิ้มแต้มาแต่ไกล พอถึงหน้าร้านก็จะเรียกข้าพเจ้าว่า น้า ดังๆ ตามด้วย หมี่น้ำ ๔ ก้อน เหมือนเดิม ข้าพเจ้าจะเหล่ชำเลืองเพียงนิดคล้ายๆจะไม่แยแส เปล่าหรอก ข้าพเจ้ามิกล้าจ้องหน้าเด็กสาวคนนี้เต็มตา เกรงว่าหัวใจเด็กหนุ่มอย่างข้าพเจ้าจะอ่อนไหวต่างหาก!
นี่แหละ รสชาติบะหมี่เอร็ดอร่อยถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้ข้าพเจ้ามึนได้อย่างไรบะหมี่น้ำก้อนครึ่ง
ใครหนอ? ที่มันช่างคิดริเริ่มแบ่งบะหมี่หนึ่งก้อนออกเป็นสองส่วน แล้วให้นำส่วนหนึ่งไปรวมกับบะหมี่จำนวนเต็ม เพื่อให้ได้บะหมี่ขาดๆเกินๆหนึ่งถ้วย มันน่าจะเป็นผู้หญิงวัยเต็มสาว ที่เริ่มทำงานในตำแหน่งฐานะที่กำลังไต่เต้าสู่ระดับสูง ไม่ก็คงเป็นเด็กหนุ่มผู้กำลังชื่นชมกับเนคไทน์เชิ้ตขาว และเริ่มมีรสนิยมเฉพาะที่ผิดแผกไปจากชาวบ้านทั่วๆไป ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินบะหมี่ก้อนครึ่งนั้นเมื่อไร แต่จำได้ชัดถึงอาการอึ้ง งง สงสัย ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดีกับบะหมี่โชคร้ายก้อนนั้น ข้าพเจ้าซีเรียสมากกับการแบ่งแยกแล้วลวก มันไม่มีทางที่จะได้ขนาดเท่ากันอย่างแน่นอน คลี่บะหมี่ออก กะขนาดที่คิดว่า เท่ากัน ให้ใกล้เคียงที่สุด แล้วใส่รวมกับอีกก้อน ไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรที่เถ่าชิ่วร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์แห่งนี้ทำไม่ได้ นอกเสียจากหาลูกจ้างที่จะอยู่ร่วมกันนานๆ
แรกๆข้าพเจ้าไม่เต็มใจเลย ไม่ยินดีกับการลวกบะหมี่ก้อนครึ่งอย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้าพยายามอธิบายชักจูงให้เขารู้ว่า บะหมี่ครึ่งก้อนที่เหลือนั้น มันจะถูกกองอยู่ในตู้อย่างไร้ผู้ใดใยดี มันจะกรอบและแห้งหักเป็นท่อนเป็นเสี่ยงอย่างรวดร้าวเศ้ราโศกเสียใจที่สุด ข้าพเจ้าพยายามอธิบายประวัติศาสตร์ที่มารากเหง้าของบะหมี่แต่ละก้อนอย่างเคร่งเครียดจริงจัง พยายามให้เขาเห็นว่าเพียงอ้าปากขยับกรามแล้วกลืนลงคออีกนิด มันไม่ได้เหน็ดเหนื่อยสักเท่าไรเลย ข้าพเจ้าถามว่าแล้วไอ้ครึ่งก้อนที่เหลือนี่จะทำกับมันอย่างไรดี? ข้าพเจ้าแทบร้องไห้โฮ เมื่อไร้คำตอบสำหรับชะตากรรมของครึ่งก้อนที่เหลือนั้น
ข้าพเจ้ายอมจำนนต่อความต้องการของลูกค้า ลวกบะหมี่พลางขออโหสิกรรมขอขมาต่อครึ่งก้อนที่เหลือด้วยความจำเป็น ด้วยอากัปของจอมยุทธ์พเนจรผู้โดดเดี่ยว ไร้การวิงวอนร้องขออีกต่อไป ข้าพเจ้าตวัดกระบี่ขึ้นกลางอากาศ ลมปราณทั้งมวลอยู่ที่ดวงตาหนึ่งส่วนลำแขนหนึ่งส่วน มิกี่เพลงบะหมี่ก็สุกหอมอยู่ในถ้วยใบเขื่อง ข้าพเจ้าใส่กับแล้วบรรจงห่อ
ด้วยราคาเท่ากับบะหมี่สองก้อนจำนวนเต็ม อย่างมิตรภาพที่สุด
๒). รสนิยมของคนเป็นเรื่องแปลก ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาห้อยโทรศัพท์มือถือกันต่างพระเครื่อง พานให้สงสัยนักว่าเมื่อจะคล้องคอนั้นพวกเขาอาราธนาด้วยคาถาบทใด? จะใช่ โนกิยังอราธนานัง หรือไม่ก็ไม่สู้แน่ใจนัก ยิ่งวัยรุ่นเดี๋ยวนี้นิยมนุ่งกางเกงตัวหลวมโพรก รัดเข็มขัดจนเอวยู่บริเวณก้นกอยโชว์กางเกงในสีแรดๆ แล้วห้อยหลวงพ่อโนเกีย หรือทัดไอ้ที่เรียกว่าบูลตูสกันต่างดอกไม้ ข้าพเจ้าว่ามันแปลกๆลูกตาอย่างไรมิทราบได้
ก็นั่นแหละ สมัยข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น แม่ก็เคยปวดหัวและมองข้าพเจ้าอย่างหมั่นไส้ๆมาก่อนเหมือนกัน ด้วยชุดกางเกงยีนมือสองสีซีดเปื่อย เสื้อยืดคับติ้วสีสดๆ ลูกประตำเต็มคอ ข้อมือและนิ้วนั้นก็เครื่องประดับหินควอยซ์ แจ็คเก็ตทหารตัวโคร่ง รองเท้าฟองน้ำช้างดาวแบบหนีบ และท่าเดินยกไหล่เขยกส้น อา วัยระเริง!
รสนิยมเป็นเรื่องเฉพาะจริงๆนั่นแหละ มันเป็นป้ายบอกยี่ห้อของแต่ละคนในตัว วัยรุ่นสมัยข้าพเจ้านั้นหากใครนุ่งกางเกงแพคชิโน , โดมอน เสื้อ ดีเซล ละก็ เขาจะเดินกันคนละฟากถนนกับไอ้หนุ่มบลูยีนส์เลยทีเดียว ในขณะที่เราคุยกันถึงคาราบาวที่เพิ่งตั้งวงกันได้ไม่นาน เขาก็พูดถึง ไมเคิล แจ็กสัน และท่าเต้น เบรคแดนซ์ ในขณะที่เขามองเราด้วยหางตาหมิ่นๆ เราก็ชูคำขวัญ ขยี้บู ฟื้นฟูเฮฟวี่ กันลั่น แล้วเราก็ตั้งทีมบอลพลาสติคแข่งกัน อย่าคิดว่าไอ้หนุ่มบูติคจะสำอางไปซะทุกเรื่องเชียวล่ะ เรื่องเตะบอลนี่มันก็ไม่ได้บันเบาเลย ยิ่งเมื่อเกมแรงขึ้นๆจนควบคุมไม่อยู่ เด็กบูก็เตะไอ้หนุ่มเฮฟวี่เอาได้ง่ายๆเหมือนกัน
การปะทะกันของรสนิยมมันเกิดขึ้นได้เสมอฉันนี้
รสนิยมก็คือแฟชั่น ระบาดไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งตั้งใจและทั้งไม่ตั้งใจ บางครั้งเพียงกลัวว่าจะตกกระแสไม่เหมือนคนอื่นเขา บางคนจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรสนิยมบางอย่างของตน ทั้งที่ไม่เหมาะกับบุคลิกหรือหน้าตาเอาเสียเลย ท่านเคยเห็นกะเทยตัวใหญ่ๆ ดำๆ คราบไคลบนหนอกคอหลังเป็นปื้นสวมสายเดี่ยวบ้างไหม? นี่แหละ อำนาจของกระแสรสนิยมเลยล่ะ
แต่ละวันข้าพเจ้าต้องต้อนรับลูกค้ามากมาย ยิ่งเสาร์ อาทิตย์นี่บ่อยครั้งที่ต้องกินมื้อเช้าเอาเมื่อตอนเก็บร้านบ่ายแก่ๆ ข้าพเจ้าต้องจำให้ได้ว่าใครสั่งอะไร ใส่ผักไม่ใส่ผัก ลวกแบบสุกพอดีหรืออืดๆพองๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้วยไหนที่ไม่เอาผงชูรส
ข้าพเจ้าเชื่อว่าร้านอาหารทุกแห่งล้วนใช้ผงชูรสกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ร้านส้มตำที่ดูๆแล้วมันไม่น่าจะเข้ากันได้เลยกับผงชูรส มันเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับร้านอาหาร โดยเฉพาะอาหารจีนโต๊ะกลมทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ ผงชูรสกลายเป็นปัจจัยหลักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ท่านต้องทำใจเลยว่าอาหารจีนนั้นคู่กันกับผงชูรส แยกจากกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพียงแต่มันถูกโรยถูกปรุงถูกใส่มาจากในครัว ลูกค้าผู้มีอุปการะคุณไม่อาจมองเห็นได้ถึงขั้นตอนนั้น แม้จะสั่งกำชับไปนักหนาว่าไม่เอาไม่เอาก็ตามทีเถิด เมื่อไม่เห็น ท่านก็สามารถรับทานได้อย่างเอร็ดอร่อยสะดวกใจ
แต่ร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์แห่งนี้สิ เราปรุงเราทำอาการกันในที่โล่งแจ้ง มองเห็นได้แม้กระทั่งเถ่าชิ่วกำลังชำเลืองเหล่สาวสวยที่เดินผ่านหน้า เช่นนี้ จึงทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปคว้าช้อนชาตักผงชูรสเพียงปลายช้อน ก็จะมีเสียงตระหนกตกตื่นหวาดกลัวดังหวีดขึ้นมาขรมทุกเมื่อ เอ้า ไม่ใส่ก็ไม่ใส่ ไม่มีปัญหา ข้าพเจ้าเสไปคว้าช้อนตักน้ำมันกระเทียมเจียวแก้ขวยต่อสายตาตำหนิรุนแรง มันเป็นความเคยมือนะท่าน มันเป็นไปเองอัตโนมัติเป็นสเตปๆ และไอ้ความอัตโนยมัติตามสเตปนี่แหละที่ข้าพเจ้ามักจะโดนเสียงหวีดลั่นขรมตำหนิอยู่เสมอ จนที่สุด ข้าพเจ้าก็แทบจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ เอื้อมมือไปคว้าช้อนตักผงชูรสคราวใด หัวใจก็สั่นรัวหน้าซีดคราวนั้น ได้แต่ชะงักงันเก้เก้กังกังลังเล กลัวเสียงหวีดขรมนั้นจะแผดกัมปนาทลั่นหู
สาบานได้ว่าจำนวนผงชูรสที่ข้าพเจ้าตักใส่แต่ละถ้วยนั้นเพียงแค่ปลายช้อนชา ไม่ได้มากมายเต็มช้อนครึ่งช้อนแต่อย่างใดเลย เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละท่าน เพราะผงชูรสมันมีราคาแพง!
นานเข้า ข้าพเจ้าก็ยิ่งเห็นความหวาดกลัวผงชูรสของคนเมืองทวีคูณขึ้น มันขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว ระบาดรุนแรงจนดูเหมือนจะขาดสติในการไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ผงชูรสกลายเป็นความหวาดกลัวที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่เจอ ข้าพเจ้าตัดสินใจเลิกใช้ผงชูรสหน้าร้านทันที ทั้งเพื่อตัดปัญหาต้นทุน ตัดปัญหาลูกค้าไม่พอใจ และตัดความรำคาญที่ข้าพเจ้าเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลายครั้งที่ข้าพเจ้าแทบสิ้นสุดความอดทนกับการคอยยืนจ้องจับผิดเอาเป็นเอาตาย การกรอกหูอยู่ซากซ้ำ แม้กระทั่งการเสียมรรยาทชี้นิ้วใส่หน้าข้าพเจ้าสำทับ ข้าพเจ้าอึดอัดไม่พอใจกิริยาเยี่ยงนี้เลย มันไม่น่าดู มันไม่สุภาพ
โรคประสาทอ่อนๆก็ทำท่าจะเป็นโรคประสาทแก่ๆเอาง่ายๆ
เฮียคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกิน ๔๕ แกมักจะมา ๖ โมงเช้าวันเสาร์ ทุกครั้งที่สั่งหมี่ก็จะสั่งเหมือนๆเดิม หมี่น้ำสองก้อน สองถุง ถุงหนึ่งไม่ผักไม่กระเทียม อีกถุงไม่น้ำมันแต่เอากระเทียม ผักกาดหอมเยอะๆ แต่ต้นหอมไม่เอา ทั้งสองถุงเอาตังฉ่ายนิดเดียว และไม่ชูรส อ้อ - แยกน้ำต่างหากมาให้ทั้งสองถุงด้วย แกจะหยุดหอบนิดหนึ่งทบทวนรายการที่สั่งอยู่ในใจ แล้วยิ้มมาย้ำอีกครั้งว่าไม่เอาชูรส
เสาร์แรกเสาร์ที่สองเสาร์ที่สาม จนเสาร์ปัจจุบันที่เท่าไรแล้วก็ขี้เกียจจะจำ แกก็จะสั่งอย่างนี้ทุกๆครั้ง เหมือนๆเดิมทุกครั้ง หมี่น้ำสองก้อน สองถุง ถุงหนึ่งไม่ผักไม่กระเทียม อีกถุงไม่น้ำมันแต่เอากระเทียม ผักกาดหอมเยอะๆ แต่ต้นหอมไม่เอา ทั้งสองถุงเอาตังฉ่ายนิดเดียว และไม่ชูรส อ้อ - แยกน้ำต่างหากมาให้ทั้งสองถุงด้วย - ทุกเสาร์
ข้าพเจ้ายิ้มและบอกว่าที่นี่ไม่ใช้ผงชูรสตั้งแต่เสาร์แรก จนปัจจุบันนี้ก็ขี้เกียจจะจำแล้วว่ากี่เสาร์ ข้าพเจ้าเหนื่อย ครั้นเหนื่อยมากๆเข้าสั่งสมหลายๆเสาร์เข้า ข้าพเจ้าก็รู้สึกหงุดหงิด โรคประสาทก็ทำท่าจะกำเริบเอาได้ง่ายๆ พอเฮียแกย้ำถึงคำสุดท้ายว่าไม่ชูรส ข้าพเจ้าก็จะหยุดนิ่งมองแกอย่างเหนื่อยแทน พยายามส่งสายตาว่าเฮียจำไม่ได้เลยหรือว่าที่นี่ไม่ใช้ผงชูรส แกก็จะยิ้มแหยๆพร้อมๆกับที่ข้าพเจ้าถอนใจเหนื่อยหน่าย
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ ผงชูรสมีรสชาติหรือไม่? มันช่วยในการทำให้อาหารอร่อยจริงหรือ?
ข้าพเจ้าเคยแตะชิมผงชูรสเปล่าๆ ข้าพเจ้าเป็นคนขายอาหาร ข้าพเจ้าจำต้องรู้รสชาติองค์ประกอบทุกอย่างที่ก่อรวมกันเป็นบะหมี่หนึ่งถ้วย ต้องรู้ว่าความเข้มความเจือจางนั้นต้องผสมลงไปในส่วนเท่าไรรสชาติจึงจะพอดี ต้องรู้ความแตกต่างระหว่างเกลือกับน้ำปลา และเลือกใช้ให้ถูกกับลักษณะเฉพาะของคุณสมบัติ ต้องรู้ว่าน้ำตาลเมื่อถูกไฟในองศาใดจึงจะไหม้เกรียมได้หอม กระทั่งต้องรู้ว่าลิ้นของข้าพเจ้านั้น สอดคล้องเพียงไรกับลิ้นของลูกค้าส่วนใหญ่ แล้วเว้นความเข้มของรสชาติบางอย่างให้ลูกค้าปรุงเองให้ถูกลิ้นตน
ข้าพเจ้าพบว่า - ผงชูรสมีลักษณะเฉพาะอันแตกต่างจากรสชาติอื่นๆอย่างสิ้นเชิง มันมีความโดดเด่นและขัดแย้งอยู่ในตัวอย่างไม่น่าเชื่อ รสชาติปะแล่มๆเลี่ยนๆ หวานก็ไม่ใช่เค็มก็ไม่เชิงนั้น เมื่อเราแตะชิมเพียงน้อยมันจะให้ความรู้สึกคลื่นไส้บอกไม่ถูก แต่เมื่อใดก็ตามที่อาหารจานหนึ่ง ถูกปรุงด้วยมือที่ไม่ถึงจนรสชาติฉีกไปคนละทิศละทาง รสชาติปะแล่มๆของผงชูรสนี่แหละที่จะละลายรสชาติทั้งปวงให้เข้าหากันได้ สมานรสชาติอันแผดจัดไร้รูปแบบให้กลมกล่อมได้ และเมื่อวัยเยาว์นั้น ข้าพเจ้าเคยเรียนมาว่าผงชูรสทำมาจากมันสำปะหลัง โฆษณาหลายตัวก็พยายามบอกที่มาวัตถุดิบนี้อย่างพยายามยิ่ง ท่านกำลังกลัวมันสำปะหลัง? โอ - ช่างเหมือนดารานักแสดงบางคนที่กลัวแตงโม น่ารักเหลือประมาณ!
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ากินผงชูรสแล้วหัวล้าน จริงเท็จเพียงไรข้าพเจ้าไม่ทราบได้ แต่เฮีย ๖ โมงเช้าคนนั้น ข้าพเจ้าเห็นแกหัวล้านมาตั้งแต่แกยังเป็นหนุ่มรุ่น ล้านแบบบางๆ หรอมแหรมๆ หน้าผากหายไปครึ่งหนึ่ง แกคงจะกินนมผสมผงชูรสกระมัง?
ความกลัวผงชูรสมันกลายเป็นอาการวิตกจริตของคนเมือง ที่สมาคมคนไม่เอาผงชูรสก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องกลัวนักกลัวหนา? คำตอบสำเร็จรูปที่จะได้ยินทุกครั้งก็คือมันไม่ดี ถ้าเถ่าชิ่วฝีมือเจ๋งก็ไม่ต้องพึ่งผงชูรสแต่อย่างใด เป็นคำตอบที่เหมือนๆกันหมด ตอบได้โดยไม่ต้องคิด ตอบไปตามที่คนลือกันมา ตอบไปโดยเป็นไปเอง มีหญิงสาวคนหนึ่ง หลังจากชี้นิ้วใส่หน้าข้าพเจ้าย้ำว่าไม่เอาชูรส ข้าพเจ้าก็ถามกลับทันทีว่ามันอันตรายอย่างไร? ข้าพเจ้าอยากได้คำตอบที่จริงแท้ มีการพิสูจน์ทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ มีความน่าเชื่อถือได้ มีการผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขว่ามันอันตราย เธอตอบข้าพเจ้าหลังจากใช้ความคิดหนักหน่วงว่า&กินผงชูรสแล้วเป็นกะเทย!
ข้าพเจ้าแทบหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ๆ เธอก็สาธยายต่อไป ชี้ให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้กะเทยเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่เว้นแม้เด็กประถมก็เริ่มเป็นกะเทยกันแล้ว ข้าพเจ้าได้แต่ทำตาปริบๆ และยิ้มอย่างไม่รู้จะพูดหรือทำอย่างไรดี พานให้นึกสงสัยว่าเฮีย ๖ โมงเช้าคนนั้นแกจะเป็นกะเทยด้วยไหมหนอ? และการล่มสลายของพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทยนั้น มันเกิดมาจากพลพรรคดาวแดงกินผงชูรสคลุกข้าวกันถ้วนหน้าหรืออย่างไร?
มันอันตรายถึงเพียงนี้ รุนแรงร้ายกาจถึงเพียงนี้ มันล้างทำลายมนุษยชาติให้ย่อยยับอย่างน่ากลัวขนาดนี้ ทำไมองค์การอาหารและยา ทำไมกระทรวงสาธารณสุข ทำไมรัฐบาล จึงไม่สั่งห้ามผลิตและจำหน่ายไปแต่เนิ่นๆ ทำไมไม่ลงโทษปิดโรงงานใหญ่โตนั้น? ทำไมผงชูรสจึงกลายเป็นสินค้าส่งออก? ทำไมยังปล่อยให้มีการโฆษณามอมเมาประชาชน? และทำไมท่านจึงยังแกะซองผงชูรสแล้วส่งไปชิงรางวัล? มันเป็นรสนิยมที่ตามกระแสคนรักสุขภาพ ใครรักสุขภาพจนแทบจะกอดตัวเองหลับตาพริ้มตายจะดูเป็นคนมีความคิดดี การศึกษาดี รสนิยมดี สงสัยเพียงแต่ว่าเมื่อข้าพเจ้าถาม ทำไมท่านเหล่านั้นจึงหาคำตอบแท้ๆให้ข้าพเจ้าไม่ได้สักคน คำตอบที่จริงแท้ ที่มีการยืนยันมาจากภาครัฐ ไม่ใช่คำตอบที่ คิดว่า เอาเอง เมื่อวันสงกรานต์หลายปีก่อนโน้น ในขณะที่ร้านไม่มีโต๊ะนั่งเหลือ ที่ยืนรอต่อคิวก็มีอยู่เยอะ โต๊ะหนึ่งพร้อมหน้าพ่อแม่และลูกอีกสอง กว่าจะคีบบะหมี่เข้าปากได้นั้น ท่านต้องเอาตะเกียบมาให้ข้าพเจ้าลวกน้ำร้อน ทั้งที่ที่ร้านเมื่อล้างเสร็จจะเอาตะเกียบไปอังไฟอ่อนๆ แก้วน้ำนั้นท่านก็ต้องล้างเองด้วยมือตน หอบเอาเครื่องปรุงจำพวกพริกน้ำตาลน้ำปลามาจากที่บ้าน ไม่มีถั่ว อันนี้ข้าพเจ้าเข้าใจเอาว่าท่านคงกลัวจะเป็นมะเร็งตามความเชื่อพิกลพิลึกอีกอย่างของคนเมือง เมื่อท่านรับทานจนแล้วเสร็จ ผู้เป็นแม่ก็ลุกขึ้นยืนแจกยาให้กับสมาชิกครอบครัวสะอาด พูดเบาๆแต่ได้ยินไปทั่วทั้งร้านว่าเป็นยาฆ่าเชื้อ แม่เจ้า! ทำไมชีวิตมันลำบากลำบนได้ถึงขนาดนี้เชียวหนอ?
รักสุขภาพเป็นเรื่องดี แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าหากรักมากไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาการวิตกจริตนั้นมันจะพานเป็นวิกลจริตเอาได้ง่ายๆ
๓).
แทบทุกวันที่ข้าพเจ้าจะต้องเจอกับบะหมี่ก้อนครึ่งไม่ชูรส หนักเข้าข้าพเจ้าก็ไม่พยายามอธิบายชักจูงอีกต่อไป ก้มหน้าก้มตาลวกหมี่ประดุจจอมยุทธพเนจรผู้โดดเดี่ยว บะหมี่ก้อนครึ่งไม่ชูรสมันกลายเป็นกระแสหลักของร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์ มากเข้าและยิ่งมากขึ้นทุกวันจนคล้ายๆมันจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่แห่งการกินหมี่เป็ดไปเสียแล้ว ใครไม่สั่งก้อนครึ่งไม่ชูรสนั้น - เชย! บอกแล้วไง ไม่มีสิ่งใดที่เถ่าชิ่วร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์แห่งนี้ทำไม่ได้ นอกเสียจากการหาลูกจ้างมาอยู่ด้วยกันนานๆ ไอซ์เองก็ยังคงนำร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นมาอุดหนุนอยู่เสมอ ยิ้มแต้มาแต่ไกลแล้วเรียกข้าพเจ้าว่า น้า ดังๆ
วัฒนธรรมก้อนครึ่งไม่ชูรส จึงปะทะกับวัฒนธรรมสี่ก้อนน้ำไม่ผักเข้าอย่างจังในร้านหมี่เป็ดศิริวัฒน์แห่งนี้!
๑ กุมภ์ ๒๕๔๘